“สนธิรัตน์” ดึงไฟส่วนเกินป้อนBTS-MRTหวังลดต้นทุนลดค่าตั๋วให้ปชช. หนึ่งในแผนส่งเสริมรถ EV

“สนธิรัตน์” ดึงไฟส่วนเกินป้อน BTS-MRT หวังลดต้นทุนลดค่าตั๋วให้ ปชช. หนึ่งในแผนส่งเสริมรถ EV ลุ้น กพช.16 ธ.ค.นี้เคาะเกณฑ์ รฟฟ.ชุมชน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในฐานะประธานเปิดการสัมมนา “การสื่อสารนโยบายพลังงานสู่การปฏิบัติ ปี 2563” ว่า กระทรวงพลังงานจะใช้นโยบาย Energy For All หรือ พลังงานเพื่อทุกคน โดยการนำพลังงานมาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก จึงมอบนโยบายให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงพลังงานทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ใช้ Energy For All เป็นตัวหลักในปี 2563

และเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงพลังงาน จะนำพืชทางการเกษตร ปาล์ม อ้อย มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจมาแปลงเป็นพลังงานเพื่อสร้างรายได้ โดยให้พลังงานจังหวัดหน่วยงานสำคัญเป็นตัวประสาน สำรวจว่าพื้นที่ใดยังไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง เก็บเป็นบิ๊กดาต้า ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดพลังงานชุมชน นั่นหมายถึงชุมชนมีไฟฟ้าใช้ และเกิดโรงไฟฟ้าชุมชน 1,000 MW ใน 3 ปี ที่จะสามารถซื้อขายไฟได้

และล่าสุดได้หารือกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ถึงแผนส่งเสริมให้เกิดการใช้ EV ส่วนหนึ่งคือการที่จะเตรียมดึงไฟฟ้าสำรองที่เหลือเกินความต้องการใช้ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 30% และส่งผ่านไปยังระบบขนส่งสาธารณะทั้งรถไฟฟ้าบนดิน (BTS) และรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) แล้วให้ลดค่าบัตรโดยสารให้กับประชาชน จะเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้าซึ่งเป็นทิศทางในอนาคต ซึ่งยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาแผนดังกล่าว ขณะเดียวกันได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเป็นระบบ

ส่วนเป้าหมายระยะสั้น ที่จะเร่งดำเนินการให้สำเร็จเป็นรูปธรรมภายใต้นโยบาย Energy For All หัวใจหลักคือต้องการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน ผู้มีรายได้น้อย เช่น ส่วนลดค่าก๊าซหุงต้มและค่าไฟฟ้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยอยู่ระหว่างปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซให้เกิดความเป็นธรรม
และทุกพื้นที่ของประเทศไทยจะต้องมีไฟฟ้าใช้ โดยอยู่ระหว่างการจัดทำกรอบการสนับสนุนผ่านกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อขับเคลื่อนในทางปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม

ต้องเกิดโรงไฟฟ้าชุมชนกว่า 1,000 เมกะวัตต์(MW) ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีการนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในวันที่ 16 ธ.ค. นี้ โดยคาดว่าเฟสแรกปี 2563 จะเกิดการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า 70,000 -80,000 ล้านบาท จากเป้าหมาย 1,000 เมกะวัตต์ใน 3 ปี โดยรูปแบบจะมีหลายรูปแบบกำหนดให้ชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมขายไฟเข้าระบบได้ (On Grid) และมีการรับซื้อเชื้อเพลิงจากภาคเกษตรที่เป็นระบบคอนแทรกฟาร์มมิ่ง

เกิดสถานีพลังงานชุมชน โดยใช้โมเดลการพัฒนาชุมชนของ จ.กาญจนบุรี เป็นแนวทางในการทำสถานีพลังงานชุมชนแบบครบวงจรที่สามารถนำพลังงานจากแสงอาทิตย์ ชีวมวล ขยะ และเชื้อเพลิงฟอสซิลมาบริหารจัดการในกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดรายจ่ายด้านพลังงานและสร้างรายได้ต่อยอดอาชีพของชุมชน โดยจะพิจารณานำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมาสนับสนุน

เกิดการใช้ B10 ทั่วประเทศเป็นน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐาน และมี B20 ที่ใช้สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยให้ตลาดน้ำมันปาล์มมีความสมดุลมากขึ้น สร้างเสถียรภาพราคาไม่ให้ได้รับผลกระทบจากความผันผวนราคาในตลาดโลก ซึ่งขณะนี้ในช่วงนำร่องดำเนินการมาระยะเดือนกว่าๆ ก็ยกระดับราคาปาล์มน้ำมันขึ้นมาที่กิโลกรัมละกว่า 4 บาทแล้ว รวมทั้ง B10 ยังช่วยลดฝุ่น PM 2.5 เพราะการส่งเสริมใช้ชีวมวลจากปาล์มช่วยลดการเผาในที่โล่ง และยังทำให้มีการปล่อย PM 2.5 น้อยลงอีกด้วย รวมทั้งในปีหน้าก็จะส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพในกลุ่มน้ำมันเบนซินต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้แก๊สโซฮอล E20 เป็นน้ำมันเกรดหลักในกลุ่มเบนซิน