อคส.ปรับโมเดลขายข้าวถุงเข้าห้าง-เรือนจำลดขาดทุน

อคส.ตั้งเป้าปี”63 ลดขาดทุนสะสม 160 ล้าน หลังชนะประมูลขายข้าวเข้าเรือนจำ 46 แห่ง เล็งศึกษากฎหมายทำธุรกิจหวังขยายช่องทางจำหน่ายข้าวถุงเข้าห้างโมเดิร์นเทรด-ร้านสะดวกซื้อ พร้อมดึงตลาดสุวรรณเกลียวทองเช่าพื้นที่คลังสินค้าธนบุรีระหว่างรอแผนสร้างเอเชียทีค ผ่าน PPP

พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวว่า อคส.อยู่ระหว่างจัดทำแผนสร้างรายได้ปี 2563 โดยมีเป้าหมายลดภาวะการขาดทุนต่อเนื่อง สะสมและเพิ่มผลกำไรให้ได้ โดยขณะนี้ขาดทุนสะสมต่อเนื่องมาเป็นเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี 2559 เฉลี่ยปีละ 40 ล้านบาท จนถึงปีปัจจุบันขาดทุนสะสมประมาณ 160 ล้านบาท จึงจำเป็นต้องเร่งปรับแผนสร้างรายได้ด้วยการนำสินทรัพย์ทั้งคลังสินค้ามาพัฒนาเพื่อสร้างรายได้ และการจำหน่ายสินค้าที่อคส.ผลิตเอง เช่น ข้าวสารบรรจุถุง อาหารสด โดยการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้มากขึ้น

ขณะนี้ อคส.มีรายได้หลักจากการเช่าคลัง เฉลี่ยปีละ 60 ล้านบาท รายได้จากการขายข้าวสารบรรจุถุงแบรนด์ อคส. ปีละ 20-30 ล้านบาท และรายได้จากการเข้าร่วมประมูลการจำหน่ายข้าวสาร อาหารสดให้กับหน่วยงานรัฐ เช่น เรือนจำ สถานศึกษา โรงเรียนทหาร เป็นต้น แต่ยังไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงองค์กรซึ่งมีค่าใช้จ่ายทั้งค่าบริหารจัดการต่าง ๆ เฉลี่ยปีละ 120 ล้านบาท ส่งผลให้ อคส.ประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง

“แผนสร้างรายได้นี้จะเริ่มจากขยายช่องทางการจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุง โดยได้ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางเพิ่มช่องทางขายข้าวถุงแบรนด์ อคส.ไปที่ห้างสรรพสินค้า เช่น บิ๊กซี เทสโก้ โลตัส ร้านค้าสะดวกซื้อ ได้หรือไม่ เพราะต้องยอมรับข้อจำกัดอย่างหนึ่งว่า กฎหมายในปัจจุบันได้กำหนดไม่ให้หน่วยงานของรัฐวิสาหกิจจำหน่ายสินค้าหรือทำธุรกิจแข่งกับเอกชน เว้นแต่มีกฎหมายรองรับ ดังนั้น อาจต้องศึกษากฎหมายให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ขัดกฎหมายปัจจุบันหรือขัดรัฐธรรนูญที่วางไว้ หากสามารถเพิ่มช่องทางกระจายการจำหน่ายได้จะช่วยให้รายได้เติบโต 3 เท่า จาก 60 เป็น 180 ล้านบาทต่อปี ส่วนแผนการทำตลาดส่งออกข้าวอาจชะลอไปก่อน เช่นเดียวกับการทำตลาดออนไลน์ อคส.ที่ยังไม่พร้อมเรื่องขนส่ง” พ.ต.อ.รุ่งโรจน์กล่าว

พร้อมกันนี้ อคส.ชนะประมูลจำหน่ายอาหารสดและข้าวสาร อคส.ให้กับกรมราชทัณฑ์ (เรือนจำ) จำนวน 46 แห่งจากเรือนจำทั่วประเทศ 148 แห่ง และมีกำหนดจะเริ่มส่งมอบเร็ว ๆ นี้ ส่งผลให้มีรายได้ในส่วนนี้เพิ่ม 1,004 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2563 และมีกำไรประมาณ 30 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการจำหน่ายข้าวสารอาหารสดให้กับสถานศึกษา หน่วยงานทางทหารอีกประมาณ 170-180 ล้านบาท ทั้งยังมีแผนจะจำหน่ายให้กับโรงเรียนทหาร โรงเรียนตำรวจเพิ่มเติมด้วย

“อคส.ชนะประมูลจำหน่ายข้าวสารและอาหารสดให้เรือนจำ หลังจากมีการปรับหลักเกณฑ์การประมูลเปิดให้เฉพาะหน่วยงานราชการเท่านั้นเข้าแข่งขัน จึงมีจำนวนคู่แข่งลดลงเหลือ 4 ราย”

ส่วนความคืบหน้าในการพัฒนาพื้นที่คลังธนบุรีเป็นเอเชียทีค 2 นั้น เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบถามความชัดเจนไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กรณีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ขัดกฎหมายการ พ.ร.บ.การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 หรือไม่ ส่งผลให้โครงการดังกล่าวไม่สามารถเดินหน้าได้

โดยในระหว่างนี้ อคส.ได้เชิญผู้ประกอบการตลาดสุวรรณเกลียวทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาลงทุนทำตลาดในพื้นที่ว่าง 3 ไร่ หน้าคลังธนบุรี ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวมีรายได้ 50-60 ล้านบาท หากพัฒนาเป็นตลาดคาดว่าจะเพิ่มรายได้เป็น100 ล้านบาทต่อปี

“ทราบว่ากฎหมาย PPP ยังจะต้องมีการพิจารณากฎหมายลูก เพื่อรองรับกิจกรรมหรือการดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลา ดังนั้น พื้นที่ดังกล่าว อคส.อาจจะเปิดให้เช่าพื้นที่หรือทำตลาดในลักษณะสัญญาระยะสั้นไม่เกิน 3 ปี เพื่อก่อให้เกิดรายได้ระหว่างรอข้อกฎหมายที่ชัดเจนก่อน ส่วนคลังในพื้นที่ต่างจังหวัดที่เป็นของ อคส.ก็จะผลักดันให้เกิดรายได้ต่อไปเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่ง อคส.มีแผนจะบูรณะซ่อมแซมคลังสินค้าที่ชำรุด โดยเตรียมจะเสนอของบประมาณวงเงิน 8 ล้านบาท เพื่อซ่อมแซมหลังคาคลังราษฎร์บูรณะ รองรับการเปิดพื้นที่เช่าคลังให้เช่าต่อไป