“สนธิรัตน์” สั่งรับมือเหตุตึงเครียดสหรัฐฯ-อิหร่าน มั่นใจไม่กระทบราคาพลังงาน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า สำหรับสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศสหรัฐฯ และอิหร่านที่คาดการณ์ว่าส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ทางกระทรวงพลังงานได้เชิญผู้บริหาร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563 พร้อมทั้งประเมินและเตรียมการหากเกิดสถานการณ์ที่เกิดขึ้นวิกฤตเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี มั่นใจว่าจากสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่มีผลกระทบต่อปริมาณสำรองน้ำมันภายในประเทศ ขณะนี้แม้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น แต่ยังไม่กระทบต่อราคาพลังงาน อย่างไรก็ดี ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทุกวัน

ขณะที่ปริมาณสำรอง ปัจจุบัน ณ วันที่ 5 มกราคม 2563 ไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ 2,988 ล้านลิตร ปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่งอีก 1,144 ล้านลิตร น้ำมันสำเร็จรูป 1,468 ล้านลิตร รวมจำนวนวันที่สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ทั้งหมด 50 วัน ส่วนปริมาณสำรองก๊าซ LPG ทั้งหมดประมาณ 101 ล้านกิโลกรัม สำรองได้ 17 วันสำหรับใช้ในภาคครัวเรือน ทั้งนี้ เพื่อการบริหารจัดการเพื่อกระจายความเสี่ยงระยะยาว กลุ่ม ปตท. ได้ปรับลดสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางที่เคยสูงถึงกว่า 74% และล่าสุดปรับลดเหลือประมาณ 50%

ด้านการผลิตปิโตรเลียมในประเทศ ปัจจุบันผลิตน้ำมันดิบได้ประมาณ 1.3 แสนบาร์เรล/วัน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะขอความร่วมมือในการงดส่งออกน้ำมันดิบ ซึ่งจะได้ปริมาณน้ำมันดิบเพิ่มมากขึ้นประมาณ 25,000 บาร์เรลต่อวัน และหากมีเหตุฉุกเฉินสามารถเพิ่มการผลิตภายในประเทศให้มากขึ้นอีก 36,000 บาร์เรลต่อวัน โดยจะขอความร่วมมือกับโรงกลั่นน้ำมันให้หาทางออกด้านเทคนิคเพื่อใช้น้ำมันดิบในประเทศทั้งหมด ในด้านบริหารราคาน้ำมันเชื้อเพลิง กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีเกณฑ์สำหรับการบริหารจัดการราคาน้ำมันในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งได้มีการจัดทำเป็น Scenario ในช่วงระดับราคาต่างๆ ในการบริหารจัดการราคาน้ำมันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในเรื่องดังกล่าว ขณะนี้สถานะกองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ประมาณ 37,000 ล้านบาท

“ขอให้ประชาชนมีความมั่นใจว่า กระทรวงพลังงานจะสามารถบริหารจัดการสถานการณ์ด้านความมั่นคงของการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีใช้อย่างต่อเนื่อง และด้านราคาไม่ให้เกิดความผันผวนจนส่งผลกระทบต่อประชาชน”