กกร. คาดปี63 ส่งออกติดลบ 2-0% GDP โต 2.5-3% สงคราม ค่าเงิน ภัยแล้งกระหน่ำ

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการ หอการค้าไทย และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวในฐานะ ประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยไตรมาสปี 2562 ยังคงมีภาวะภาวะชะลอตัว ขยายตัวเพียง 2.5% จากการส่งออกหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าและผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้การนำเข้า การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนภาคเอกชนหดตัวเช่นกัน การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงแม้มีมาตรการภาครัฐช่วยพยุงไว้บางส่วน มีเพียงการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องจากแรงหนุนมาตรการ Visa on Arrivals เท่านั้น
 
ดังนั้นในปี 2563 ประเมิณว่า การส่งออกอาจยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้จำกัดหรือมีความเป็นไปได้ที่จะติดลบ 2- 0% ส่งผลให้เศรษฐกิจไทย GDP ขยายตัว 2.5-3% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.8-1.5% ซึ่งรองรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่อาจยืนสูงที่ระดับ 70 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล เป็นเวลา 6 เดือน
 
ซึ่งเกิดจากปัจจัยกดดันที่ต่อเนื่องมาในปี 2562 ทั้งผลจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความผันผวนของค่าเงิน ปัจจัยลบจากความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางจากกรณีสหรัฐฯและอิหร่าน ที่หากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจผลักดันให้ราคาน้ำมันยืนอยู่ที่ระดับสูงต่อเนื่อง
 
และภาวะแล้งที่รุนแรงในประเทศ ที่นอกจากจะกระทบผลผลิตและกำลังซื้อเกษตรกรแล้ว อาจมีผลให้ราคาอาหารสดปรับตัวสูงขึ้น
 
ทั้งนี้ ทิศทางราคาน้ำมันและราคาอาหารสดที่มีแนวโน้มเร่งขึ้นดังกล่าว จะทำให้การดำเนินนโยบายการเงินของทางการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเผชิญข้อจำกัดมากขึ้น
 
ภาคเอกชนจึงต้องการให้ภาครัฐเร่งรัดการบังคับใช้และการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ขณะเดียวกันก็ควรเตรียมแผนรับมือฉุกเฉินจากปัญหาภัยแล้งและเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง และดูแลความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทไม่ให้กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
 
นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนโอกาสของประเทศไทยต้องสร้างบรรยากาศให้ดี เน้นเรื่องความมั่นคงและปลอดภัย โดยเรายังศักยภาพด้านการท่องเที่ยว รวมถึงเป็นศูนย์กลางอาหารในภูมิภาค
 
ดังนั้น รัฐควรมีนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม โดย กกร. เสนอให้ภาครัฐดำเนินการดังนี้
 
1. ลดค่าใช้จ่าย ด้วยการลดค่าไฟให้เฉพาะธุรกิจ SMEs และบ้านพัก ลงมา 5% เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจทั้งหมด
 
เร่งรัดการคืนภาษี VAT ให้รวดเร็วภายในเวลา 30 วัน, ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรใหม่เพื่อการผลิตซึ่งประเทศไทยผลิตเองไม่ได้ ลงเหลือ 0% เป็นระยะเวลา 1 ปี, ลดการจ่ายเงินประกันสังคมของทั้งลูกจ้าง นายจ้าง ลง 50% เป็นระยะเวลา 6 เดือน, ลดค่าธรรมเนียมการโอนเงินและค่าการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เป็น 0.01% เป็นเวลา 1ปี
 
2.เสนอให้มีการขุดบ่อกักเก็บน้ำในรูปแบบของแก้มลิงในแต่ละหมู่บ้าน (ประมาณ 70,000 หมู่บ้าน) เพื่อช่วยแก้วิกฤติภัยแล้งในระยะยาว โดยใช้แรงงานในท้องถิ่น ทั้งนี้หากภาครัฐสามารถจัดสรรพื้นที่ราชพัสดุที่เหมาะสมในการขุดบ่อได้ ก็จะช่วยลดเวลาในการเวนคืนได้มาก
 
3.แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค นอกเหนือจากการพัฒนาเขต EEC เช่น ภาคเหนือ (NEC) จะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหาร และ Creative Economy ภาคอีสาน(NEEC) ศูนย์กลางการท่องเที่ยว อาหาร และ Logistics hub ภาคใต้ (SEC) พัฒนาให้เป็นเมืองอัจฉริยะและท่องเที่ยว รวมถึงอุตสาหกรรมฮาลาล เป็นต้น
 
4.ให้ กกร. เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เพื่อปรับปรุงระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐให้คล่องตัวมากขึ้น และสนับสนุนสินค้าไทยมากขึ้น