วิกฤตโลกถล่มส่งออกปี’63 หอการค้าจี้รัฐเร่งเบิกงบฯลงทุนดันจีดีพี

อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

“หอการค้าฯ” ชี้ปัจจัยลบภายใน-ภายนอก ถล่มส่งออกไทยปี 2563 ติดลบ 0.9% กระทบจีดีพีหด 0.5% แนะรัฐเร่งเบิกจ่ายงบฯหนุนลงทุน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โตถึง 2.7%

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลวิเคราะห์การส่งออกไทยปี 2563 ว่า จะติดลบ 2.4% ถึงบวก 0.5% หรือมูลค่า 240,472-247,621 ล้านเหรียญสหรัฐ มีความเป็นไปได้สูงที่ส่งออกจะหดตัว 0.9% คิดเป็นมูลค่า 244,231 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยสมมติฐานราคาน้ำมัน 60-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน 29-31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่เศรษฐกิจโลกขยายตัว 2.7-3.2% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ 3.4%

ผลจากปัจจัยเสี่ยงหลักคือ ค่าเงินบาทแข็งค่า ถ้าขึ้น 1% จะทำให้มูลค่าการส่งออกลดลง 0.11% ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและอิหร่าน สงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่ยังต้องติดตามใกล้ชิด รวมถึงความตกลง USMCA ซึ่งจะมีข้อกำหนดให้วัตถุดิบในสหรัฐ เม็กซิโก และแคนาดาเพิ่มขึ้น จากความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) จะส่งผลต่อการส่งออกสินค้าไทยบางกลุ่ม เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร เครื่องดื่ม และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม อีกทั้งปัญหาภัยแล้ง การปรับขึ้นค่าแรงการที่ประเทศสหรัฐตัดสิทธิพิเศษทางภาษี (จีเอสพี) สินค้าไทย 573 รายการ ในเดือนเมษายน 2563 ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตาม การเดินหน้าลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภูมิภาค (RCEP) ความไม่แน่นอนของการแยกตัวจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนของสหรัฐ 25% ในปี 2564

“ผลจากการส่งออกที่หดตัวของการส่งออกจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยถึง 0.5% โดยประเมินว่าจีดีพีไทยปีนี้จะขยายตัว 2.6-2.7% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา สิ่งที่ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือ การเดินหน้ากระตุ้นส่งออก โดยเฉพาะตลาดที่มีการส่งออกขยายตัวต่ำกว่า 5% เร่งเจาะตลาดเมืองรองในอินเดีย และจีน รักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท รวมไปถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน รวมถึงการกระตุ้นการลงทุนของรัฐ”

นายอัทธ์กล่าวว่า สถานการณ์การส่งออกไปตะวันออกกลางในปี 2563 คาดว่าจะติดลบ 2.7% ถึงติดลบ 3.5% คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 6,750-8,160 ล้านบาท ซึ่งเฉพาะปัจจัยนี้จะกระทบต่อการส่งออกรวมลดลง 1.8% คิดเป็นมูลค่า 132,067 ล้านบาท เนื่องจากกังวลว่าความขัดแย้งภายในตะวันออกกลางเกิดปัญหายืดเยื้อ หรือรุนแรง หากเกิดสงครามหรือยืดเยื้อ กระทั่งมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมัน 30% ของโลก จะส่งผลทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นถึง 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากปัจจุบันอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

สินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบส่งออกลดลง ได้แก่ รถยนต์และอุปกรณ์ อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยางและข้าว