‘กองทุนอนุรักษ์พลังงาน’ ป่วนแผน ‘โรงไฟฟ้าชุมชน’ ระส่ำ

จากกรณีกระเเสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความโปร่งใสในการแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการกลั่นกรองงบประมาณของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน” ที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ผู้พิจารณากรอบยุทธศาสตร์การจัดสรรเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานที่ได้อนุมัติไปแล้ว 10,000 ล้านบาท เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในทุก ๆ ปี ว่ามีบุคคลใกล้ชิดเข้ามามีส่วนในการพิจารณากลั่นกรองการใช้เงินกองทุน 

 จนกลายเป็นเผือกร้อนที่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ต้องรีบออกโรงชี้เเจงถึงกรณี “รายชื่อคนใกล้ชิด” ที่ได้แต่งตั้งขึ้นมาว่า ไม่มีอำนาจชี้นำหรือพิจารณาอนุมัติโครงการเเต่อย่างใด เป็นเพียงการแต่งตั้งขึ้นมา 4 ชุดตามเดิม ซึ่ง 1 ใน 4 ชุดถูกยกเลิกไป จึงจำเป็นต้องตั้งขึ้นมาใหม่ ให้เป็น “กลไก” และเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะทั้งสิ้นเท่านั้น

หากย้อนไปจะเห็นได้ว่ากรอบการพิจารณาปีนี้ได้แบ่งสัดส่วนการใช้เงินเป็น 3 แผน ได้แก่ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 5,000 ล้านบาท แผนพลังงานทดแทน 4,700 ล้านบาท และแผนบริหารจัดการ 300 ล้านบาท ผ่านงบประมาณปี 2563 ซึ่งหัวใจสำคัญการบริหารงาน คือการปฏิรูปกองทุน เพื่อให้สอดรับกับ “นโยบายโรงไฟฟ้าชุมชน” ซึ่งเป็นนโยบายที่นายสนธิรัตน์ตั้งไข่ และหมายมั่นปั้นมือ โดยตั้งเป้าหมายจะพัฒนาโรงไฟฟ้าชุมชนในเฟสแรก ประมาณ 250 แห่ง และจะเห็นความชัดเจนของทีโออาร์ในไตรมาสแรก ซึ่งในจำนวนนี้จะมีโรงไฟฟ้าชุมชนรูปแบบเร่งด่วน นำร่องเกิดขึ้นก่อน 10-20 แห่งภายในกลางปี 2563 

หวังเพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกรฐานรากที่ขายวัตถุดิบให้กับโรงไฟฟ้าชุมชน และสร้างประโยชน์ให้ชุมชนสามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้อย่างทั่วถึงตามนโยบาย Energy For All และยังได้รายได้จากการขายไฟฟ้าที่ชุมชนผลิตได้คืนให้กับการไฟฟ้าฯอีกต่อหนึ่ง อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะคลอดทีโออาร์กลับมีการตั้งข้อสังเกตถึง “คณะทำงาน” ชุดดังกล่าวขึ้นมาเสียก่อน 

ดังนั้น เพื่อความบริสุทธิ์ใจของทุกฝ่ายนายสนธิรัตน์จึงได้สั่งการให้เปิดเผยข้อมูลโครงการที่จะได้รับอนุมัติทั้งหมดให้ประชาชนช่วยตรวจสอบผ่านทางเว็บไซต์ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะเป็นที่ทราบดีว่าโครงการกองทุนนี้มีมูลค่าไม่น้อย และมีเม็ดเงินกระจายไปทั่วประเทศลงสู่ท้องถิ่น อาจจะเกิดการทุจริตหรือเอื้อผลประโยชน์ให้ใครหรือไม่          

“เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของ คกก.กลั่นกรอง ไม่มีอำนาจชี้นำโครงการใดโครงการหนึ่ง ผมเข้ามาทำงาน ผมน้อมรับคำวิจารณ์ และโอกาส แต่กรรมการที่ตั้งใจเข้ามาช่วยก็อาจจะท้อ ถอดใจ เพราะไม่อยากเป็นเป้า อยากขอความเป็นธรรมให้คณะทำงานเราด้วย ซึ่งเราไม่มีเจตนาอื่น และหนึ่งในโปรเจ็กต์ที่เราหวังมาก คือ พลังงานเพื่อชุมชน” นายสนธิรัตน์กล่าว  

ต้องจับตามองว่า งานนี้สะดุดหรือจะไปต่อ ถือเป็นโจทย์พิสูจน์ทั้งฝีมือและการเมือง แม่ทัพพลังงานของรัฐบาลชุดนี้