ดัชนีความเชื่อมั่นทรุด 11 เดือนติด ปัจจัยลบรุมเร้า-มาตรการรัฐไร้ผล

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยประจำเดือน ม.ค. 63 อยู่ที่ระดับ 45.4 จุด ปรับตัวลดลง 0.3 จุด จากเดือน ธ.ค. 62 โดยเป็นการปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 นับตั้งแต่เดือน มี.ค. 62 เนื่องจากผู้ประกอบการยังกังวลสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว, ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19, สถานการณ์ภัยแล้ง, การส่งออก, สถานการณ์ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 และที่สำคัญมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาล ทั้งโครงการประกันรายได้เกษตรกร และชิมช้อปใช้ ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ได้ช่วยให้ประชาชนได้มีการใช้จ่ายได้มากนัก แม้ว่ารัฐบาลจะใช้งบประมาณลงสู่ระบบประมาณ 200,000 ล้านบาท

ทางศูนย์ฯประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/63 คาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 0.5-0.8% เนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 และปัญหาภัยแล้ง ทำให้เม็ดเงินหายจากระบบกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งกระทบตัวเลขจีดีพี 1-1.5% ส่วนเรื่องของงบประมาณที่ล่าช้านั้น หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติออกมาน่าจะผ่อนคลายสถานการณ์ไม่ให้ปัญหาการเบิกจ่ายล่าช้าไปมากว่าเดือน เม.ย. ดังนั้นหากรวมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะดำเนินการออกมาในเร็วๆ นี้ ทำให้ทางศูนย์ฯยังคงเป้าจีดีพีในปี 63 ขยายตัวระดับ 2.8% เหมือนเดิม


ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของหอการค้าไทยนั้น พบว่าผู้ประกอบการในกรุงเทพฯ และปริมณฑลต้องการให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 เพราะกระทบต่อสุขภาพและภาคธุรกิจ, ภาคกลางต้องการให้กระตุ้นเศรษฐกิจ ท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มเติม, แก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร, ภาคตะวันออกต้องการให้มีการสนับสนุนเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าให้กับธุรกิจที่มีความต้องการ, กระตุ้นให้เกิดการบริโภคสินค้าในประเทศ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือต้องการให้รัฐช่วยลดอัตราดอกเบี้ยและผลักดันธุรกิจในประเทศให้มีการส่งออกมากขึ้น, พัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ให้สามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ, ภาคเหนือต้องการให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศเพิ่ม รักษาระดับราคาของสินค้าอุปโภคและบริโภคไม่ให้สูงเกินไป และช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้ง หรือจัดทำฝนเทียมในพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และภาคใต้ต้องการให้รัฐส่งเสริมอาชีพท้องถิ่นในชุมชน ให้ประชาชนมีรายได้เพิ่ม พัฒนาระบบประกันสุขภาพประชาชนให้ทั่วถึง เป็นต้น