ภัยแล้ง เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักทุบเศรษฐกิจไทย หากไม่หามาตรการที่รัดกุมในการ “บริหารจัดการน้ำ” จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจ ด้วย “น้ำ” เป็นปัจจัยหลักทั้งอุปโภค บริโภค และเกษตร และ ณ เวลานี้ ภาคตะวันออกพื้นที่อุตสาหกรรมหลักเริ่มส่งสัญญาณชัดเจนถึงภาวะภัยแล้งขั้นรุนแรงแล้ว
แผนจัดสรรน้ำแล้งก๊อกสุดท้าย
นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำว่า ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศรวม 42,773 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 56% ของความจุอ่าง มีปริมาณน้ำใช้การได้ประมาณ 19,000 ล้าน ลบ.ม. หรือ 36% ของปริมาณน้ำใช้การได้รวมกัน เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวม 10,131 ล้าน ลบ.ม. ระบายน้ำรวมกันวันละประมาณ 18 ล้าน ลบ.ม.
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
“แม้สถานการณ์น้ำในอ่างอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างน้อย แต่หากดูภาพรวมแล้วยังมีเพียงพอแน่นอน ส่วนการจัดสรรน้ำฤดูแล้งวางแผนไว้ 17,699 ล้าน ลบ.ม. ใช้ไปแล้ว 9,662 ล้าน ลบ.ม.”
งัด พ.ร.บ.น้ำป้องกันแย่งน้ำ
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ฉายภาพให้เห็นความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ จะพบว่า ลุ่มเจ้าพระยาและภาคกลางจะต้องรัดกุม หากเกิดกรณีเลวร้าย
ฝนไม่ตก จะกระทบ “ภาคเกษตร” โดยยอมรับว่าการเพาะปลูก “ข้าวนาปี” จำเป็นต้องเลื่อนไป และปรับแผนให้เพิ่มการผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองมายังลุ่มน้ำเจ้าพระยา อีก 500 ล้าน ลบ.ม. จากเดิมที่มีมติไว้ 850 ล้าน ลบ.ม. เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำทะเลรุกมาทำให้น้ำประปาเค็มและน้ำกินน้ำใช้ให้เพียงพอ
“การผันน้ำลักษณะนี้เป็นกลไกภายใต้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ เพราะต้องแจ้งคณะกรรมการลุ่มน้ำ รวมถึงเจ้าพระยาด้วย หากไม่พอต้องดึงน้ำจากตรงไหนบ้างต้องขอก่อน” ส่วนภาคเหนือ อาจมากกว่าแผน 200 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่ภาคอีสานปีนี้กลับไม่น่าห่วง มีเขื่อนลำปาวมีน้ำกักเก็บกว่า 50% ประมาณ 6,000 ล้าน ลบ.ม.”
ขณะที่ภาคตะวันออกปีนี้ “น่าห่วงมากที่สุด” เพราะทั้งอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล จ.ระยอง และอ่างบางพระ จ.ชลบุรี เริ่มวิกฤต หากน้ำไม่พอถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ดังนั้น จำเป็นต้องขอความร่วมมือดำเนินการ 5 มาตรการ กล่าวคือ 1) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรืออีสท์วอเตอร์ และนิคมอุตสาหกรรมลดการใช้น้ำ 10% 2) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลดการใช้น้ำผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมภาคตะวันออก 3) กรมชลประทาน กปภ. อีสท์วอเตอร์ ต้องจัดหาแหล่งน้ำสำรองจากภาคเอกชน 4) กรมชลประทานพิจารณาผันแหล่งน้ำจากข้างเคียงมาเติมอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล 5) กปภ.เร่งรัดการก่อสร้างตามแผนงาน
“ภาคตะวันออกเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม จึงเริ่มแก้ปัญหาเกลี่ยน้ำร่วมหลายฝ่าย ไม่ใช่แค่ภาคเกษตรลด ที่สำคัญกรมฝนหลวงจะเริ่มบินปฏิบัติการมีนาคม เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน”
จ่อชงสภาพัฒน์เคาะเงินกู้
อย่างไรก็ดี สทนช.อยู่ระหว่างกลั่นกรอง-ตรวจสอบโครงการเร่งด่วนเพื่อกักเก็บน้ำฤดูฝน (ดูกราฟิก) ภายใน 2 เดือนครึ่ง เพื่อให้ทันฤดูฝนที่จะถึงนี้ เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฝนพร้อมประสานท้องถิ่นให้มีเจ้าภาพ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติในหลักการภายในเดือนนี้ รวมทั้งล่าสุด นายกรัฐมนตรีสั่งการมายัง รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้ดำเนินการเร่งด่วนโดยให้สามารถใช้เงินกู้โครงการขนาดเล็กถึงขนาดกลางมูลค่าตั้งแต่ 100-200 ล้านบาท ทั้งนี้ ต้องผ่านสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อให