หอการค้าไทย พร้อมจับมือภาครัฐ เพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของ COVID-19 โดยจะเผยแผ่ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับภาคธุรกิจสำหรับแนวทางปฏิบัติป้องกันโรคระบาด
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับเครือข่ายองค์กรภาคเอกชน กล่าวว่า ภาคเอกชนประเมินว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส จะยังคงมีต่อไปอีกสักระยะ และแม้รัฐบาลจะมีมาตรการออกมาดูแลและควบคุมสถานการณ์ ภาคเอกชนมีข้อเสนอในการร่วมมือเพื่อดำเนินงานร่วมกับภาครัฐดังต่อไปนี้
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ราคาทองวันนี้ (17 เม.ย. 67) ปรับ 8 ครั้ง ขึ้น 450 บาท รูปพรรณบาทละ 42,150 บาท
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
1. มาตรการเร่งด่วนด้านสาธารณสุข โดยภาคเอกชนพร้อมที่จะร่วมผลักดันการสื่อสารเพื่อให้ทุกหน่วยงานร่วมมือป้องกันการแพร่เชื้อและหยุดการระบาด ภาคเอกชนพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการเร่งรัดจัดหาหน้ากากให้เพียงพอกับการใช้งาน ทั้งโดยการผลิตภายในประเทศและการนำเข้า อย่างไรก็ดี ภาครัฐควรมีมาตรการสนับสนุนการผลิต นำเข้าและกระจายเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต่างๆอย่างเร่งด่วน (เช่น Test Kit, เครื่องช่วยหายใจ, วัตถุดิบในการผลิตยาและเวชภัณฑ์ เป็นต้น)
สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยพร้อมที่จะร่วมประสานงานกับ ศอฉ.COVID-19 ในการให้ความช่วยเหลือประชาชน พร้อมให้ความสนับสนุน สถาบันทางการแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ เช่น อาหาร น้ำ และเงินบริจาค พร้อมร่วมมือในการผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค และยังคงการจ้างงาน รวมทั้ง ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยมีแนวทางการบริหารจัดการในอุตสาหกรรมและบริการ เช่น
2.อุตสาหกรรมที่มีความจำเป็น (Essential) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรงจะต้องสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม , เวชภัณฑ์การแพทย์ , เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร , ธนาคาร . ธุรกิจการเกษตร . พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงอุตสาหกรรมต้นน้ำ ที่ต้องป้อนอุตสาหกรรมข้างต้น ตลอดจน การจัดจำหน่าย การขนส่ง และโลจิสติกส์
ทั้งนี้ การนำเข้าเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิต ช่องทางการจัดจำหน่าย เช่น ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต การขนส่งและโลจิสติกส์ทั้งทางบก ทางน้ำ (รวมถึงท่าเรือ) และทางอากาศเพื่อรองรับการกระจายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและจำเป็นต่ออุตสาหกรรมดังกล่าว เช่น การบรรจุภัณฑ์ กระดาษและวัสดุการพิมพ์ โรงกลั่น ปิโตรเคมี ก๊าซ (ออกซิเจนสำหรับใช้ในโรงพยาบาล) และเคมีภัณฑ์ ให้สามารถดำเนินการได้ เพื่อสนับสนุนการผลิตและการบริการของอุตสาหกรรมที่จำเป็น
อีกทั้งจะเชิญชวนให้ผู้ประกอบการจัดทำ มาตรการเชิงรุก (Proactive) ป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เข้มข้น ทั้งในสำนักงานและโรงงาน และต้องมีแผนรับรองกรณีที่พบผู้ติดเชื้อ ทั้งสำหรับสำนักงานและโรงงาน 3. มาตรการด้านเศรษฐกิจ ระหว่างประกาศภาวะฉุกเฉิน ควรเน้นความเร็วและการเข้าถึง เพื่อให้ประชาชนสามารถยังชีพได้ และลดปัญหาสังคม หลักสำคัญที่สุด คือ การชะลอการเลิกจ้าง และการประคับประคองให้ผู้ถูกเลิกจ้างสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยสวัสดิการเงินอุดหนุนต่างๆ
ทั้งนี้ หลังจากประกาศภาวะฉุกเฉินแล้ว เอกชนมั่นใจว่าระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานจะสามารถให้บริการได้อย่างราบรื่นและต่อเนื่อง อาทิ ระบบน้ำประปา ไฟฟ้า โทรคมนาคม การเงิน และท่าเรือขนส่งสินค้า เป็นต้น ตามที่รัฐได้แถลงนโยบายไปแล้ว เรื่องชะลอการเลิกจ้างโดยการให้การสนับสนุนด้านการเงินให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อนำไปจ่ายให้กับลูกจ้าง เสนอให้ตั้งกองทุน (อาจจะร่วมกับเอกชนด้วย) ให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการเพื่อนำไปจ่ายค่าแรง และการที่ภาครัฐได้ออกมาตรการ พักชำระหนี้ และ ปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารให้แก่ SMEs รวมทั้งให้วงเงินกู้เพิ่มเติมกับธุรกิจที่ขาดสภาพคล่องเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ เสนอควรอนุญาตให้มีการจ้างงานรายชั่วโมง เพื่อป้องกันปัญหาการเลิกจ้างแรงงาน โดยขอให้หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจติดต่อกับภาคเอกชน สามารถให้บริการและติดต่อทางออนไลน์ได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การออกใบอนุญาตต่างๆ การนำเข้าส่งออกสินค้าต่างๆ ไม่ให้มีการตกค้างที่ท่าเรือ หรือ สนามบิน และควรมีการติดตามผลว่ามาตรการต่างๆที่ได้ประกาศใช้สามารถช่วยเหลือ ผู้ประกอบการได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะเมื่อวิกฤตครั้งนี้ผ่านไป การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการกลับมาดำเนินการของธุรกิจเหล่านี้ ทั้งนี้ การให้ความสนับสนุนในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศในระยะยาว
นายกลินท์กล่าวอีกว่า สำหรับข้อเสนอแนะอื่น ๆ ที่ต้องการให้ภาครัฐดำเนินการ เช่น ด้านการสื่อสาร ควรจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ออกมาให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ขอให้รัฐบาลสื่อสารให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานต่างๆ ปฏิบัติตามมาตรการที่ประกาศใช้ด้วยความเข้าใจที่ตรงกัน โดยภาคเอกชนพร้อมร่วมมือในการร่วมสื่อสารมาตรการเยียวยาของภาครัฐที่ได้ประกาศใช้ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างชัดเจนและทั่วถึง
ด้านการบริหารจัดการ เอกชนพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ในการทำงานบูรณาการ กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในช่วงภาวะฉุกเฉิน และหลังวิกฤตการณ์ COVID-19 เพื่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ภาครัฐควรต้องรักษาระบบการเงินด้วยการสร้างความเชื่อมั่นว่า “มีเงินทุนในระบบแบบไม่จำกัด”ด้วยมาตรการทางการเงินต่างๆ โดยเชื่อว่าความร่วม ทีาเกิดขึ้นจะสร้างความมั่นใจ สร้างความเชื่อมั่น สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ต่อไป