ยื่นลงทุนไตรมาส 1 ลดฮวบ 44 % เหลือ 71,380 ล้าน เซ่นพิษเศรษฐกิจ-โควิด

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผย ว่า ภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 3 เดือนของปี 2563 (มกราคม-มีนาคม) มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 378 โครงการ เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 368 โครงการ ขณะที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 71,380 ล้านบาท ลดลง 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่า 128,460 ล้านบาท เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดกลางและขนาดเล็ก

โดยมูลค่าเงินลงทุนสูงสุดอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 10,620 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 5,690 ล้านบาท และยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 2,400 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่าการขอรับส่งเสริมรวม 27,425 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นมีการลงทุนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 7,402 ล้านบาท อันดับ 2 คือ จีน มีมูลค่าเงินลงทุน 6,510 ล้านบาท และอันดับ 3 ฮ่องกง มีมูลค่าเงินลงทุน 3,458 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวม 47,580 ล้านบาท คิดเป็น 67% ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า EEC เป็นพื้นที่เป้าหมายของนักลงทุนส่วนใหญ่

สำหรับเป้าหมายยอแขอรับส่งเสริมการลงทุน ปี 2563 ยากที่จะกำหนดเป้าหมาย เนื่องจากสถานการณ์ที่เป็นปัจจัยลบหลายอย่าง แต่ยังคงพยายามและให้บริการนักลงทุนให้ดีที่สุด รวมถึงชักจูงบริษัทเข้ามาลงทุนเช่นเดิม

นอกจากนี้บอร์ดยัง อนุมัติโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าการลงทุนรวม 5,480 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสายการผลิตรถยนต์เดิมที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี สำหรับผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยมีกำลังการผลิตรวม 39,000 คันต่อปี แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicles – BEV) ประมาณ 9,500 คันต่อปี และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (Hybrid Electric Vehicles – HEV) ประมาณ 29,500 คันต่อปี โดยจะเริ่มผลิตประมาณปี 2566 และจะมีการส่งออกไปตลาดอาเซียน