ตอบ 6 คำถาม ดัน “อีอีซี” ข้อสงสัยกรณีสิทธิเช่าที่ดิน99ปี-เอื้อเอกชน-ใช้งบฯสูง?

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้รวบรวมคำถาม คำตอบที่เป็นประเด็นข้อสงสัยของสังคมในการที่ ร่าง พ.ร.บ.อีอีซี กำลัง จะเข้าสู่ การพิจารณาของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยได้ตอบคำถามที่ เคยถูกหยิบยกขึ้นมาจาก สื่อมวลชน และภาคประชาสังคม ดังนี้

ประเด็นคำถามเกี่ยวกับ สิทธิประโยชน์ต่อนักลงทุนในพื้นที่ EEC การดำเนินโครงการในมิติต่างๆ

  1. ถาม : สิทธิในการใช้ที่ดินของนักลงทุนต่างชาติ ที่ยาวถึง 99 ปี ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ระยะเวลายาวเกินไป

ตอบ  : คำถามนี้อยู่บนความเข้าใจที่ผิด เพราะพรบ. EEC กำหนดระยะเวลาที่ให้สิทธิการเช่าใช้ที่ดินนั้น คือ สูงสุด 50 ปี และต่อได้อีกไม่เกิน 49 ปี

ซึ่งปัจจุบันนี้มีกฎหมายที่กำหนดการใช้ที่ดินระยะยาวอยู่แล้ว เช่น

  • พรบ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชยกรรม พ.ศ. 2542 กำหนดระยะเวลาการเช่าไว้ 30-50 ปี และให้ต่ออายุการเช่าอีกได้อีกไม่เกิน 50 ปี
  • คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 17/2558 กำหนดให้การเข่าที่ดินในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน มีระยะเวลาการเช่าไม่น้อยกว่า 50 ปี และ อาจต่ออายุการเช่าได้อีกตามระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนด
  • นอกจากนี้ ในประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซียกำหนดให้เช่าได้ไม่เกิน 99 ปี กัมพูชา ลาวกำหนดระยะเวลาการเช่าที่ดินในเขตส่งเสริมได้สูงสุด 99 ปี เวียดนาม 70 ปีและต่อได้หลายครั้ง
  • นอกจากนี้ ในด้านการถือครองที่ดิน ปัจจุบัน พรบ.การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 กำหนดให้ผู้ประกอบการต่างชาติ สามารถถือกรรมสิทธิในที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมได้ ตามเงื่อนไขที่กำหนด รวมทั้ง พรบ.ส่งเสริมการลงทุนฯ กำหนดให้ผู้ประกอบการมีสิทธิถือกรรมสิทธิที่ดินได้ ตามเงื่อนไขที่กำหนด ตามอายุบัตรส่งเสริม

 

  1. ถาม : ปริมาณการใช้งบประมาณแผ่นดินในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของโครงการ EEC นั้น ถือว่า มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย มากกว่ากรอบงบประมาณของรัฐบาลใดๆ ก่อนหน้านี้

ตอบ  : รัฐบาลที่ผ่านๆมา เห็นความจำเป็นของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยกำหนดไว้ 1.5 ล้านล้านบาท บ้าง 2.0 ล้านล้านบาทบ้าง แต่ไม่ได้ดำเนินการ

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะขยายให้ EEC เป็นประตูเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจโลก ก็อยู่บนความจำเป็นเดียวกับรัฐบาลที่ผ่านมา

โครงการหลักๆ เกือบทั้งหมดใน EEC ที่จริงเป็นการ “ริเริ่ม” และ “อนุมัติ” จากรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด และมอร์เตอร์เวย์ และโครงการเหล่านี้ผ่านการพิจารณาแลบางโครงการก็ได้การดำเนินการทำ EIA แล้วเสร็จไป แล้วหลายโครงการก็อยู่ในกระบวนการทำ EIA กันมาโดยต่อเนื่อง

EEC ทำหน้าที่ประสานโครงการเหล่านี้ให้เชื่อมโยงกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ โดยเฉพาะ

1)      สนามบินอู่นตะเภาต้องเป็นเมืองการบินภาคตะวันออก คือเป็น ฮับของธุรกิจการบินของไทย

2)      รถไฟความเร็วสูงต้องเชื่อม 3 สนามบินแบบไร้รอยต่อ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์เต็มที่ และสนับสนุนการท่องเที่ยว ลดความแออัดของสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ

3)      3 ท่าเรือน้ำลึกต้องมีรถไฟรางคู่เข้าเชื่อมเพื่อเพิ่มการขนส่งทางราง ลดการขนส่งทางถนนโดยเร็วที่สุด ให้ได้มากที่สุด เพื่อความสะดวกในการเดินทาง และ ลดอุบัติเหตุ

โครงการใหม่ที่เกิดขึ้นใน EEC คือ การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นเมืองการบินภาคตะวันออก อย่างไรก็ตาม เป็นความตั้งใจที่ยาวนานหลายทศวรรษ ตั้งแต่มีโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกครั้งนี้คือการทำให้วิสัยทัศน์และความตั้งใจที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ก็เห็นความจำเป็นในการนำสนามบินอู่ตะเภามาใช้ประโยชน์ทางเชิงพาณิชย์ตลอดมา จึงเป็นความภูมิใจของ EEC ที่รัฐบาลชุดนี้สามารถผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจน

  1. ถาม : การให้เอกชนเข้ามาบริหารพื้นที่ ที่เกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ เป็นการให้ประโยชน์แก่เอกชนบางราย

          ตอบ  : ต้องเข้าใจว่าทุกทางเลือกมีข้อจำกัด มีข้อดีข้อเสีย ดังนั้นเพื่อป็นการลดภาระงบประมาณแผ่นดิน ในการลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐาน และเพื่อเป็นการไม่ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อลงทุนกับโครงการต่างๆ รัฐบาลได้เลือกที่จะใช้วิธีการร่วมทุนกับเอกชน หรือ PPP (Public Private Partnership) ที่รัฐบาลเองจะมีเอกชนเป็นคู่สัญญา

การหาเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทำได้ 3 ทาง ซึ่งมีความเหมาะสมต่างกัน

1)      ใช้งบประมาณ … ไม่เหมาะสมเพราะงบประมาณมาจากภาษีอากร ซึ่งควรนำไปช่วยเหลือ ประชาชน ทางด้าน การศึกษา การชาวยเหลือผู้มีรายได้น้อย การป้องกันประเทศ และการสาธารณสุข

หากใช้วิธีนี้ไม่มีงบประมาณไปช่วยด้านสังคม และช่วยคนจน

2)      เงินกู้  …เหมาะสมกับบางโครงการ เช่นรถไฟรางคู่ อ่างเก็บน้ำ เพราะเป็นโครงการที่ความจำเป็นสูง แต่มีผลตอบแทนทางการลงทุนน้อย และรัฐต้องลงทุนเองเพื่อแก้ไขปัญหาการผูกขาด และเอกชนไม่สามารถร่วมลงทุนได้

หากใช้วิธีนี้มากๆ เกินกำลังจะเป็นหนี้สาธารณะ ไปถึงคนรุ่นต่อไป

3)      การร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน เหมาะสำหรับโครงการที่มีผลตอบแทนทางการเงิน และเอกชนสนใจลงทุนโดยหากรัฐจะให้เงินชดเชยบ้างก็ได้  กรณีเหมาะสมสำหรับ รถไฟความเร็วสูง สนามบินอู่ตะเภา และ ท่าเรือน้ำลึก ซึ่งจะเป็นการประหยัดเงินงบประมาณให้ประเทศสามารถไปทำงานที่สำคัญให้กับประเทศ และ ประชาชนผู้มีรายได้น้อย

หากใช้วิธีนี้ ได้การลงทุนจากเอกชนมีเงินเงินเหลือจำนวนมาก และได้ใช้ประโยชน์จากโครงการทันที โดยต้องดูแลกำกับโครงการตามสัญญา

ด้วยวิธีนี้เอกชนผู้ร่วมลงทุนเองจะเข้ามาบริหารพัฒนาพื้นที่ต่างๆ รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ได้จากสัญญา ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล ย้ำว่าวิธีนี้เป็นการลดภาระทางงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลได้

  1. ถาม : การใช้จ่ายเงินงบประมาณจำนวนมากมายมหาศาล ควรกระจายไปในทุกๆ พื้นที่ มากกว่าการลงกับจังหวัดเพียงแค่สามจังหวัดในภาคตะวันออกเท่านั้น

 ตอบ  : พื้นที่นี้ได้ถูกวางตำแหน่งและได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ยุค Eastern Seaboard เมื่อสามทศวรรษที่แล้ว ให้เป็น “ประตูของประเทศ” ท่าเรือขนาดใหญ่ก็ตั้งอยู่ที่นี่ เป็นปากประตูของเศรษฐกิจทั้งประเทศ มิใช่เป็นพื้นที่ที่มีผลประโยชน์เป็นของตนเอง การลงทุนพัฒนากับประตูของประเทศ เป็นการลงทุนเพื่อคนทั้งประเทศ ที่ผู้ได้รับประโยชน์คือประเทศไทยทั้งหมด มิใช่พื้นที่เดียว

คนในพื้นที่ 3 จังหวัด เขาคิดตรงกันข้ามว่าทำไมต้องมาแบกรับภาระ การเป็นประตู และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจให้กับคนทั้งประเทศ

นอกจากนี้ การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานมิได้ พิจารณาอย่างเป็นอิสระจากโครงข่ายอื่นๆ ในภูมิภาคอื่นๆ หากแต่ได้มีการวางแผนให้เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์แบบ เช่น การขนส่งระบบรางพื้นที่นี้ ที่จะต้องเชื่อมต่อกับรถไฟทางคู่ จาก หนองคาย เชียงใหม่ เป็นต้น

สำหรับสนามบินอู่ตะเภาที่ได้รับการพัฒนาเป็นสนามบินพาณิชย์ จะเป็นการลดภาระจากสนามบิน ดอนเมือง และสุวรรณภูมิที่แออัดอยู่แล้ว และเป็นการกระจายตัวออกมา

 

  1. ถาม : สิทธิพิเศษ การลดภาษีนิติบุคคล ให้แก่นักลงทุนที่ให้มากกว่าที่เคยเป็น

 ตอบ  : เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะว่าสิทธิพิเศษที่มีการอ้างถึงว่า เป็นการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีอยู่ตามกรอบกฎหมาย BOI ที่มีอยู่เดิม เมื่อมีระเบียบของ BOI ระบุเอาไว้ และเป็นไปตามกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน  ทั้งนี้สิทธิประโยชน์ทั้งหมดมิได้มีอะไรที่มากเกินไปกว่าเพดานที่ BOI ได้มีการระบุเอาไว้

กรณีกระทรวงการคลังซึ่งได้เพิ่มสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดถึง 17% “เป็นการสร้างฐานภาษีใหม่” เพราะเมื่อเราเก็บภาษีแพง ผู้บริหาร นักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญ เหล่านี้ไม่เปิดบัญชีหรือยื่นภาษีในประเทศไทย แต่เปิดบัญชีเงินเดือนอยู่ต่างประเทศ เข้ามาทำงานโดยไม่เสียภาษี ดังนั้นการกำหนดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 17% ทำให้ประเทศไทยได้บัญชีเงินเดือนเหล่านี้มาอยู่ในประเทศไทย และ เรากลับได้รับภาษีส่วนนี้ 17% เพิ่มเติมแทน

 

  1. ถาม : อุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ดึงเข้ามาไม่ได้ช่วยสร้างงานเพิ่มเติมให้กับคนไทย และยังเป็นอุตสาหกรรมเบาที่ อาจจะนำไปสู่การเคลื่อนย้ายการลงทุนได้ง่าย

ตอบ  : ไม่มีอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานราคาถูกในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายใน EEC

ภูมิทัศน์ อุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไปมาก อุตสาหกรรมมีการพัฒนาไปมาก EEC จึงวางพื้นฐานสำหรับ “อุตสาหกรรมใหม่” ที่ กำลังเติบโต และหากว่าเราไม่พัฒนาตาม ที่สุดก็จะโดนแซงไป ยกตัวอย่างเช่น

  • อุตสาหกรรมการบิน หากไม่มีการนำอุตสาหกรรมการบินเข้ามาในประเทศไทย ท่ามกลางการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินโลก และอุตสาหกรรมในภูมิภาคเราก็จะโดนทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง
  • อุตสาหกรรมรถไฟฟ้า คืออุตสาหกรรมที่จะมีบทบาทมากกว่าอุตสาหกรรมรถเครื่องยนต์สันดาป หากไม่วางพื้นฐานประเทศไทยก็จะโดนทิ้งไว้เบื้องหลัง
  • อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และ Automation ก็คือทิศทางอุตสาหกรรมโลก เป็นการยกระดับอุตสาหกรรมที่จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและทั้งหมดนี้ คนไทยจะอยู่เบื้องหลังในการขับเคลื่อนไปด้วย