ปิดดีล “แหล่งก๊าซบาร์เนตต์” บ้านปูกู้ 400 ล้านเหรียญ ผงาดรอง ปตท.

BANPU

บ้านปูจ่ายปิดดีล “บาร์เนตต์” ธ.ค.นี้อีก 400 ล้านเหรียญ ดันกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติเพิ่ม 700 ล้าน ลบ.ฟุตในปี 2564 ส่วนครึ่งหลังยังเดินหน้า 2 โปรเจ็กต์ โรงไฟฟ้าเวียดนาม-จีนมั่นใจอานิสงส์ปัจจัยคลายล็อกดาวน์-บาทอ่อนหนุนรายได้เพิ่ม ปรับแผนรับโควิดรัดเข็มขัด-ตุนเงินสดหดงบฯลงทุน 20% จ่อลงทุนโครงการใหญ่หลังโควิด24 เดือน

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทย่อยของบ้านปู Banpu North America Corporation (BNAC) ได้ลงนามในสัญญาเข้าซื้อสัดส่วนผลประโยชน์ในบริเวณแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ (Barnett) ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ล่าสุดทางคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) มีมติเห็นชอบให้กู้เงิน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ แล้ว โดยเตรียมความพร้อมจะเซ็นสัญญากับธนาคารซึ่งมีทั้งในไทย ญี่ปุ่น และยุโรป เพื่อชำระในเดือนธันวาคมนี้

โดยหลังจากปิดดีลนี้จะทำให้มีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติเพิ่มอีก 500 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน รวมกับกำลังการผลิตก๊าซที่แหล่งมาร์เซลลัส (Marcellus) สหรัฐ เดิมที่มีอีก 200 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน จะทำให้บ้านปูมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติรวม 700 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวันในปี 2564 หรือเป็นขนาด 1 ใน 3 ของ ปตท.สผ.

“เดิมดีลมีมูลค่า 770 ล้านเหรียญสหรัฐ จากที่ได้เจรจาในช่วงที่ราคาก๊าซอยู่ที่ 2.5 เหรียญสหรัฐ แต่ภายหลังเมื่อเกิดวิกฤตราคาก๊าซลดลงเหลือ 2 เหรียญสหรัฐ จึงได้เจรจาปรับลดลงมาเหลือ 570 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่หากราคาขยับขึ้นไปกว่านี้เกิน 2.75 เหรียญสหรัฐตามสัญญาเป็นการแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งจะทำให้กำไรในส่วนของเรา 60-70% ส่วนของเขา 30% ซึ่งขณะนี้แนวโน้มราคาก๊าซล่วงหน้าส่งมอบปี 2564 ในสหรัฐปรับขึ้นไป 3 เหรียญสหรัฐตามทิศทางราคาพลังงาน จากที่หลายประเทศประกาศคลายล็อกดาวน์หลังจากโควิด-19ระบาด และมีแนวโน้มความต้องการมากขึ้นช่วงฤดูหนาวอีก 3-4 เดือนข้างหน้า”

ส่วนแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 2 มองว่าจากที่หลายประเทศคลายล็อกดาวน์จะส่งผลดีต่อความต้องการใช้พลังงาน ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงหลังจากรัฐบาลไทยประกาศลดดอกเบี้ยอ่อนค่าไปที่ 31.90 บาท/เหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มจะอ่อนค่าถึง 32.50 บาท/เหรียญสหรัฐ รวมถึงปัญหาสงครามการค้าส่งผลดีต่ออัตราแลกเปลี่ยน แต่อย่างไรก็ตาม หากรัฐสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิดเร็วก็มีโอกาสที่บาทจะกลับมาแข็งค่าได้ ส่วนสภาพคล่องทำให้บริษัทน้ำมันหลายรายปิด ส่งผลดีต่อธุรกิจก๊าซธรรมชาติ

ขณะที่ธุรกิจถ่านหินคาดว่าปีนี้คงกำลังมีการผลิต 43 ล้านตัน ส่วนแนวโน้มราคาปีนี้คาดว่าราคานิวคาสเซิลลดลงเหลือ 64 จากปัจจุบันที่ 66-67 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนญี่ปุ่น 68.8 เหรียญสหรัฐ/ตัน เป็นผลจากโควิดทำให้ความต้องการใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าลดลง

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจครึ่งปีหลังบ้านปูลดงบประมาณการลงทุนลง 20% จากกรอบเงินลงทุนที่วางไว้ในปี 2020-2025 ประมาณ 800 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะเน้นพิจารณาลงทุนในโครงการใดให้ผลตอบแทนดี ส่วนโครงการที่ไม่เร่งด่วนจะตัดออก เบื้องต้นครึ่งปีหลังจะเหลือการลงทุนใน 3 โครงการหลัก คือ บาร์เนตต์ และโครงการต่อเนื่องคือ โรงไฟฟ้าพลังงานลมซอคจางที่เวียดนาม เฟสแรก 30 MW และโรงไฟฟ้า SLG ที่จีน ส่วนโครงการซื้อโรงไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์กับพลังงานลมอื่นจะทบทวนใหม่

อีกทั้งบริษัทจะมุ่งลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิต ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ 15-20% ดำเนินการต่อเนื่องนับแต่เดือน ก.พ. สามารถรักษากระแสเงินสดในมือได้ถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 10,000 ล้านบาท และยังได้รับการสนับสนุนจากธนาคารต่าง ๆมั่นใจได้ว่าสามารถจ่ายคืนดอกเบี้ย-คืนหนี้ได้แน่นอน

“ภาวะโควิด-19 ไม่ได้กระทบบ้านปูทั้งในด้านการผลิตและการจำหน่าย แต่ต้องระวังต้นทุนทางการเงิน การจัดหางานในโครงการใหญ่ ต้องดูแลให้มีความแข็งแกร่งทางการเงินเพราะทุกวิกฤตมีโอกาสเกิดขึ้น เราจะอาศัยความแข็งแกร่งทางการเงินในการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้เกิดขึ้น โดยมองว่าหลังโควิด-19 จะเกิด deep recession ประมาณ 18-24 เดือน”

นางสมฤดีกล่าวว่า บ้านปูจะมองหาโอกาสการลงทุนให้ดีตามแผนกลยุทธ์ greener & smarter โดยในช่วง 18-24 เดือนนี้เราจะมุ่งขยายงานบ้านปู เน็กซ์ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและเอ็นเนอร์ยีเทคโนโลยี ส่วนการลงทุนขนาดใหญ่จะเป็นระยะกลางหลังจากผ่าน 18-24 เดือนไปแล้ว เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซในสหรัฐอาจเกิดขึ้นในอีก 24 เดือนหลังโควิดผ่านไป ในพื้นที่ใกล้กับแหล่งมาร์เซลลัส เพื่อขายก๊าซเข้าไปยังโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้สร้างการเติบโตในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมของบ้านปู พาวเวอร์

สำหรับโอกาสการลงทุนธุรกิจแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกนั้น จากรายงานโรงงานแบตเตอรี่บ้านปูที่จีนได้กลับมาผลิตหลังจากที่หยุดไปช่วงโควิดระบาดเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ได้แจ้งว่า ยอดขายในสหภาพยุโรปไตรมาส 1 เพิ่มขึ้นสูงแต่ต้องรอดูในไตรมาสนี้ว่าจะได้รับผลกระทบจากโควิดหรือไม่

ส่วนในไทยแม้ว่านโยบายส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ EV น่าจะชะลอตัวลงในขณะนี้ แต่เราก็มีแผนพัฒนาธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบ้านปู เน็กซ์ได้นำรถยนต์ไฟฟ้า FOMM มาเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม ฮ้อปคาร์ นำร่องให้บริการฟรีสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ 50 คัน

จากนี้อีก 2-3 เดือนจะพัฒนาเป็นรูปแบบการเช่าเชิงพาณิชย์ เป็นโซลูชั่นสอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ (new normal) ทั้งจะเพิ่มจำนวนรถไฟฟ้า MuvMi จาก 100 เป็น 1,000 คันใน 2-3 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับสถานีรถไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้น 200 สถานี