สรท. เตรียมถกธปท. เคลียร์มาตรการสินเชื่อ-ส่งออก 4 มิ.ย.นี้

สภาผู้ส่งออกฯ เตรียมเข้าหารือแบงก์ชาติถึงมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ รวมไปถึงสถานการณ์การส่งออกไทย 4 มิ.ย. 2563 นี้ ขณะที่ยังคงมองส่งออกไทยทั้งปี ติดลบ 8% พร้อมวอนรัฐรักษาปัจจัยทางเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศต่อไป

นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สรท. ยังคงคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2563 หดตัว -8% บนสมมติฐานค่าเงิน 30.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีปัจจัยบวกการส่งออกกลุ่มสินค้าอาหารที่มีภาพรวมการขยายตัวได้ดี การผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ภายในประเทศ ทำให้ระบบการผลิต ระบบโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เริ่มกลับมาดำเนินการใกล้เคียงกับปกติ อย่างไรก็ดี สำหรับการส่งออกยังต้องจับตาครึ่งปีหลังจากสถานการณ์การผ่อนคลายในหลายประเทศเพราะแม้จะดีขึ้น แต่ยังคงวลเรื่องของกำลังซื้อจากแรงงานที่ตกงานเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลต่อการนำเข้าสินค้า พร้อมกันนี้ สรท.เตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำหรับสถานการณ์การส่งออก รวมไปถึงมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ในวันที่ 4 มิถุนายน 2563 นี้

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่กระทบต่อการส่งออก ความไม่แน่นอนของการระบาด COVID-19 ระยะต่อไป ทำให้หลายประเทศยังคงมาตรการ Lockdown อย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอาจส่งผลให้ความต้องการสินค้าของตลาดโลกลดลง โดยเฉพาะสินค้าคงทนและสินค้าอุตสาหกรรม อาทิ ยานยนต์และเครื่องปรับอากาศ ประกอบกับผลจากกระบวนการดำเนินงานด้านเอกสารที่ล่าช้าเนื่องด้วยจำนวนพนักงานที่ลดลงในช่วง work from home ค่าเงินบาทที่เริ่มมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้น ราคาน้ำมันที่เริ่มกลับมาสู่ขาขึ้นได้อีกครั้ง ความขัดแย้งที่เริ่มกลับมาปะทุอีกครั้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน มีแนวโน้มที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน รวมถึงการเพิกถอนการจดทะเบียนของบริษัทสัญชาติจีนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี สรท. มีข้อเสนอแนะที่เสนอให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1) ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย รักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้แข็งค่ากว่า 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ

2) เร่งใช้งบประมาณภาครัฐเพื่อลงทุนสร้างความยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการปรับตัวไปสู่ Digital disruption ของภาครัฐ

3) สนับสนุนให้ประเทศไทยเข้าร่วมเจรจา CPTPP เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยสงวนสิทธิ์ให้สามารถถอนตัว หากทราบรายละเอียดเงื่อนไขหรือไม่สามารถเจรจาให้เกิดประโยชน์ในภาพรวมของประเทศ รวมถึง เร่งผลักดันการเจรจา FTA อื่นๆ อาทิ RCEP Thai-EU เป็นต้น

4) พิจารณาการค้าในรูปแบบ Trade to Localization มุ่งเน้นไปที่ประเทศเพื่อนบ้านใน ASEAN and CLMV (CLMV is our home market) เนื่องจากเป็นตลาดที่ใกล้ชิด และสามารถขนส่งข้ามแดนได้โดยง่าย และสนับสนุนให้มีการกำหนดนโยบายเพื่อสร้างตลาดเป็นหนึ่งเดียว (Single market) และพัฒนาแผนการขนส่งข้ามแดนที่สามารถปฏิบัติได้ต่อเนื่อง

5) ขอให้ภาครัฐพิจารณาส่งเสริมรายอุตสาหกรรมที่มี Potential ที่เกี่ยวเนื่องในช่วงสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อกระตุ้นปริมาณการส่งออก อาทิ สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง (ในกลุ่มเวชภัณฑ์ทางการแพทย์) กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก และ 6) เสนอให้ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พิจารณาปลดล็อคธุรกิจทั้งทางด้านการค้าและบริการ ในภาคส่วนต่างๆ เพิ่มเติมภายใต้การติดตามควบคุมอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมได้คล่องตัวมากขึ้น