นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเผยหลังการประชุมมอบนโยบายให้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนี้เปลี่ยนแปลงทั่วโลก ทำงานลำบากขึ้นการลงทุนอาจชะลอจากโควิด-19 ดังนั้นจึงขอให้บีโอไอปรับนโยบายใหม่ โดยตั้งเป้าผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง (HUB) ของกลุ่ม CLMVT ไม่ใช่เพียงเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกเท่านั้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตร บริการ ท่องเที่ยว และการแพทย์
ในส่วนการผลักดันภาคการเกษตร จะต้องเดินตามนโยบาย Local Economy ให้สิทธิประโยชน์ในกลุ่มสมาร์ทฟาร์มเมอร์ และสามารถเชื่อมกับเกษตรรายย่อยและการท่องเที่ยวไปด้วย
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
นอกจากนี้บีโอไอจะต้องสร้างยูนิคอร์น (ผู้ประกอบการยอดขาย 1,000 ล้านบาทขึ้นไป) ภายในแผน 5ปี และสานต่อการเจรจากับประเทศเครือข่ายสำคัญ อย่าง จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน จากความต้องการการย้ายฐานผลิตมาที่ไทย
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ กล่าวว่า เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวบีโอไอยังคงยึดนโยบายหลักคือการ ดึงการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เนื่องจากไทยยังต้องการเทคโนโลขั้นสูง ขณะเดียวกันจะเพิ่มนโยบายในการผลักดันอุตสาหกรรมในประเทศให้เป็นตัวขับเคลื่อนประเทศ เช่น ด้านเกษตร ดิจิทัล การแพทย์ ซึ่งจะมีการปรับปรุงเงื่อนไข สิทธิประโยชน์ เพิ่มประเภทกิจการเสนอเข้าที่ประชุมบอร์ดบีโอไอ ในวันพุธที่ 17 มิ.ย. 2563 นี้
นอกจากนี้ยัง เตรียมที่จะออกแพคเกจใหม่สำหรับการย้ายฐานการลงทุน (รีโลเคชั่น) ที่จะอิงเรื่องของพื้นที่เป็นหลัก เช่น สามารถลงในพื้นที่ใดในประเทศไทยก็ได้ ซึ่งอยู่ระหว่างหารือว่าจะได้สิทธิประโยชน์อย่างไรได้บ้าง อย่างที่มีอยู่คือ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และ เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) รวมถึงเขตในอนาคตที่จะเกิดขึ้นคือ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ และเขตพิเศษภาคอีสาน เป็นต้น
“สำหรับปีนี้เราไม่ได้ตั้งเป้ายอดขอรับส่งเสริมการลงทุน หากจะน้อยกว่าปีที่แล้วก็ต้องยอมรับมัน เพราะสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทั่วโลก ยังไม่มีใครกล้าลงทุน”