ผู้เลี้ยง-ผู้ค้า-นักวิชาการ ขึ้นเวทีแจงเสี่ยงถ้านำเข้าหมูจากสหรัฐ วอน’บิ๊กตู่’ไม่หารือ’ทรัมป์’

นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวในงานเสวนา “อนาคตสุกรไทยในโลก 4.0” ที่อิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี ว่า จากกรณีสหรัฐอเมริกาเตรียมเจรจาขอให้ไทยนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในหมูจากสหรัฐ ซึ่งสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติคัดค้านการอนุญาตให้นำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐมาตลอดร่วม 10 ปี การจัดงานครั้งนี้ไม่ได้จะคัดค้านการนำเข้าเนื้อและชิ้นส่วนหมูจากสหรัฐ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเลี้ยงหมูไทยเท่านั้น รวมถึงการเกษตรด้านปศุสัตว์เป็นห่วงโซ่อุปทานระหว่างเกษตรพืชไร่ด้านอาหารสัตว์ ที่มีประชากรของประเทศเกี่ยวข้องมหาศาล แม้ตัวเลขจีดีพีไม่สูงเท่าภาคอุตสาหกรรมและภาคการส่งออก แต่มีประชากรต้องได้รับผลกระทบทั้งระบบมากกว่าประชากรในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกแน่นอน และสร้างความเสียหายนับล้านล้านบาทต่อปี

“สมาคมผู้เลี้ยงสุกรยื่นหนังสือคัดค้านการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐไปยังกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาแล้ว 4-5 ครั้ง ทุกครั้งที่ถามถึงความคืบหน้า ได้รับคำตอบเพียงว่าอยู่ในระหว่างการศึกษา และโยนเรื่องไปมาระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ ครั้งนี้ผมหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะฟังเรา และในการไปเจรจากับสหรัฐ เพื่อเป็นตัวแทนคนไทยไปคัดค้านข้อตกลงของสหรัฐในครั้งนี้” นายสุทธิชัยกล่าว

นายสมบัติ ธีระตระกูลชัย ประธานคณะกรรมการธุรกิจปศุสัตว์และแปรรูปสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้ามีสมาชิกเลี้ยงหมูอยู่มาก จึงเห็นว่าไม่ควรเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐ หากเปรียบเทียบต้นทุน สหรัฐจะมีต้นทุนการผลิตเนื้อหมูถูกกว่าไทย ราคาเนื้อหมูหน้าโรงงานสหรัฐอยู่ที่ 28 บาท/กิโลกรัม แต่ไทยมีราคาหน้าโรงงานอยู่ที่ 74 บาท เนื่องจากสหรัฐมีต้นทุนด้านอาหารสัตว์ถูกกว่าไทย และมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงที่เพาะเลี้ยง หากเปิดนำเข้าราคาขายเนื้อหมูสหรัฐจะถูกกว่าไทยมาก

ดังนั้น หอการค้าจึงเสนอให้ 1.ประเทศไทยต้องไม่นำเข้าเนื้อหมูและชิ้นส่วนจากสหรัฐ และ 2.หากนำเข้าต้องมีการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอัตรา 40% รวมถึงต้องยึดข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข และประกาศกระทรวงเกษตรฯที่ห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเพาะเลี้ยง หากผิดข้อกำหนดดังกล่าวต้องห้ามนำเข้าประเทศโดยเด็ดขาด

น.สพ.ชัย วัชรงค์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แนค โคห์แลน จำกัด กล่าวว่า หากไทยเปิดให้มีการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐจะเกิดการแข่งขันทางการที่ไม่เป็นธรรมในตลาดแน่นอน ส่วนตัวเห็นการนำเข้าเนื้อหมูและชิ้นส่วนจากสหรัฐเป็นการสร้างความเสี่ยงทางด้านสุขภาพให้แก่คนไทย เนื่องจากผลวิจัยระบุชัดแล้วว่าการใช้สารเร่งเนื้อแดงจะส่งผลให้มีสารตกค้าง และสร้างผลกระทบด้านสุขภาพให้แก่ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ หลอดเลือดในสมองตีบ หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน และความดัน ซึ่งข้อมูลด้านสาธารณสุขพบว่าคนไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาสุขภาพด้านนี้มากถึง 2.3 ล้านคน จึงเห็นว่ารัฐบาลไทยไม่ควรเอาชีวิตของคนไทยไปเสี่ยง

“หลายคนอาจสงสัยว่าในสหรัฐมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงแล้วเหตุใดยังคงบริโภคกันอยู่ ข้อเท็จจริงคนอเมริกันเมื่อมีปัญหาสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ แต่ในไทยเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภคกลับไม่ได้มีความเข้มแข็งเทียบเท่าสหรัฐ” น.สพ.ชัยกล่าว

น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพีเอฟ(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า หวังว่านายกรัฐมนตรีจะตอบปฏิเสธการนำเข้าเนื้อหมูและชิ้นส่วนจากสหรัฐ เพื่อปกป้องกระบวนการผลิตของไทยทั้งระบบ และสร้างความเข้มแข็งในประเทศ หากเปรียบเทียบในด้านศักยภาพทั้ง 2 ประเทศ พบว่าไทยไม่ได้เป็นรอง แต่ที่ผ่านมาไทยมีการเสียเปรียบในหลายด้าน ประกอบด้วย ต้นทุนการผลิตสหรัฐมีราคาอาหารสัตว์ต่ำกว่าไทย การถูกกระทรวงพาณิชย์ควบคุมราคาเมื่อเนื้อหมูในตลาดมีราคาสูงขึ้น และการที่แม้ไทยไม่มีการระบาดของโรคใดๆ แต่กลับถูกตีกรอบจากองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ เป็นพื้นที่โรคปากเท้าเปื่อย จึงส่งผลให้ไทยไม่สามารถส่งออกเนื้อหมูได้ ฉะนั้นกำลังผลิตเนื้อหมูของไทยส่วนมากจึงเป็นการบริโภคในประเทศ หากนำเข้าเนื้อหมูอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศไทยได้ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรภาคการผลิต

 

ที่มา  มติชนออนไลน์