วิสาหกิจชุมชน 10 แห่ง วอนรัฐบาลเดินหน้าโรงไฟฟ้าชุมชน

เสาไฟฟ้า โรงไฟฟ้าชุมชน
Photo : pixabay

วันที่ 23 กรกฎาคม 2563 เวลา 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กระทรวงพลังงาน ประธานวิสาหกิจชุมชน รวม 10 แห่ง จากภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เข้ายื่นหนังสือต่อตัวแทนของ นายวิษณุ เครืองาม ผู้รักษาราชการแทน รมว.พลังงาน เพื่อขอให้ช่วยเร่งรัดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (Energy for all) โดยเร็วและต่อเนื่อง

หนังสือดังกล่าว ระบุว่า เนื่องจากโครงการนี้มีประโยชน์อย่างแท้จริงและจับต้องได้ สำหรับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดตั้งแต่ผู้ลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า เกษตรกรผู้ปลูกพืชพลังงาน ผู้ดำเนินการตัดและนำส่งพืชพลังงานถึงโรงไฟฟ้า กองทุนหมู่บ้านและวิสาหกิจชุมชนที่จะได้รับจะได้รับส่วนแบ่งจากการขายไฟฟ้าในโครงการฯ อย่างยั่งยืน โดยไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพางบประมาณจากราชการ ซึ่งประเมินขั้นต่ำราว 120 ล้านบาท สำหรับโครงการขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าขนาด 3 เมกะวัตต์ ในช่วงระยะเวลาสัญญาขายไฟ 20 ปี (หรือ 500,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 20 ปี)

นายสุรเชษฐ์ ภูมิศรีแก้ว ประธานวิสาหกิจชุมชนวิสาหกิจชุมชนเพื่อการท่องเที่ยว โดย ชุมชนบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ได้ชี้แจงว่าทางชุมชนบ้านเชียง เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมมากว่า 5000 ปี มีการแบ่งและควบคุมพื้นที่ของชุมชนบ้านเชียงออกเป็น 3 วง เพื่อรักษามรดกโลกไว้อย่างหวงแหน ก็ยังมีความสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยจับสรรพื้นที่รอบนอกในการปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อป้อนโรงไฟฟ้า และนำรายได้จากส่วนแบ่งมาช่วยรักษามรดกโลกไว้อีกทางหนึ่งด้วย

นางนฤชล พฤกษา ประธานวิสาหกิจชุมชนวิสาหกิจชุมชน กลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนสร้างอาชีพตลาดไทร จังหวัดนครราชสีมา ก็ได้กล่าวเสริมว่า อำเภอชุมพวง เป็นอำเภอที่ค่อนข้างแห้งแล้ง แต่ก็ยังประสงค์จะเข้าร่วมโครงการนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา ทำไร่มันสำปะหลัง และทำไร่อ้อย ขาดทุนจากการประกอบอาชีพซ้ำซาก มีความหวังที่จะมีรายได้เพิ่มจากการปลูกหญ้าเนเปียร์เพื่อจำหน่ายแก่โรงไฟฟ้าชุมชน มีการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 290 คน และได้ประสานงานกับภาคีเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเลี้ยงโคเนื้อบ้านหนองคู่ อำเภอลำทะเมนชัย จังหวัดนครราชสีมา ที่อยู่ใกล้เคียง มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การปลูกหญ้า และร่วมกันส่งหญ้าเพื่อสร้างมั่นใจกับโรงไฟฟ้าที่จะมาตั้งในอนาคต

ม.ร.ว.วรากร วรวรรณ ในฐานะประธานที่ปรึกษาวิสาหกิจชุมชน กลุ่มรักษ์ช้างรักษาป่าตะวันออก (ปม.) ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า วิสาหกิจนี้เป็นดำริของกรมป่าไม้ในการจัดตั้ง เพื่อทำการส่งเสริมการปลูกต้นไม้ที่ช้างไม่กินและที่ช้างกิน อีกทั้งส่งเสริมการปลูกหญ้าเพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เป็นการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ประสบคชภัยช้างป่าบุกรุกพื้นที่ สามารถให้คนกับช้างป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล อนึ่งวิสาหกิจชุมชนกลุ่มรักษ์ช้างรักษาป่าตะวันออก (ปม.) รวมตัวจากเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากช้างป่าและคนชั้นกลางที่มีใจอยากจะช่วยแก้ปัญหา มีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินในการเป็นทุนหมุนเวียน เพื่อความก้าวหน้าในเรื่องการแปรรูปสมุนไพรเชิงพาณิชย์ การมีหุ้นส่วนในโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก เป็นโอกาสอย่างยิ่งในการทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และมีทุนหมุนเวียนพร้อมการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องจนสามารถทำให้วิสาหกิจชุมชนกลุ่มรักษ์ช้างฯ ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมได้อย่างเข้มแข็งยั่งยืนได้ในอนาคตอันใกล้นี้

“พวกเราทั้ง 10 แห่งที่รวมเดินทางในวันนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองหรือสนับสนุน ว่าที่ รมว.พลังงานคนไหน เพียงแต่มีตวามต้องการจะให้โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนนี้ดำเนินการต่อไปตามแผนที่ รมว.พลังงานคนที่แล้วได้วางไว้ถึงแม้โครงการนี้เกิดขึ้น และพวกเราไม่ได้รับการคัดเลือก ก็จะไม่เสียใจเลย ครับ เราขอให้มีโอกาสได้เข้าแข่งขันเท่านั้น” ม.ร.ว.วรากร กล่าว