วิกฤตขาดอาหาร-โควิด-ภัยแล้ง ทุบจีดีพีเกษตรปี63 “ไททา” หนุนใช้นวัตกรรม

แฟ้มภาพ
วิกฤตขาดแคลนอาหาร-โควิด-ภัยแล้ง ทุบจีดีพีภาคเกษตรปี 63 โตแค่ 2% “ไททา” ผนึกพันธมิตรหนุนเกษตรกรใช้นวัตกรรมชู “สมาร์ทฟาร์มมิ่ง” รับยุคนิวนอร์มอล เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

ดร.วรณิกา นาควัชระ บีดิงเฮ้าส์ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมนวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย (ไททา) เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคการเกษตรทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายจากวิกฤตความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เป็นอุปสรรคต่อการผลิตอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการ และการใช้มาตรการล็อคดาวน์ทำให้ไม่สามารถขนส่งสินค้าข้ามประเทศได้ และทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในระบบ


ภาพรวมสินค้าเกษตรในปี 2563 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกมีการขยายตัวลดลง กำลังซื้อลดลง ซึ่งมีแนวโน้มว่าภาคการเกษตรไทยจะขยายตัวลดลงด้วยเช่นกัน โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรคาดการณ์ว่า GDP ภาคการเกษตรในปี 2563 จะขยายตัวเพียงร้อยละ 2 – 3 เท่านั้น จากปัญหาภัยแล้ง ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำลดลงแทบทุกภาคของไทย รวมทั้งปริมาณน้ำฝนที่คาดว่าจะต่ำกว่าค่าปกติ ถึงร้อยละ 10 ในช่วงต้นปีปัญหาโรคระบาด แมลง ศัตรูพืช

ทั้งนี้ ไททามีนโยบายช่วยยกระดับภาคเกษตรกรรมไทยให้ก้าวขึ้นสู่ระดับสากล โดยมีพันธมิตรที่พร้อมจะสนับสนุนองค์ความรู้ นวัตกรรมใหม่ ๆ และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้เกษตรกรไทยมีศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก โดยนโยบายของไททาในครึ่งปีหลังนี้ คือการสานต่อการเผยแพร่ความรู้เรื่อง GAP และรณรงค์ให้เกษตรกรหันมาตระหนักถึงความปลอดภัยต่อตนเอง ต่อสิ่งแวดล้อม และต่อผู้บริโภค

ซึ่งสมาคมฯ มองว่ายั่งยืนที่สุด อีกทั้งเรื่องความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องที่หลาย ๆ ประเทศคู่ค้าของไทยใช้เป็นหัวข้อเรื่องกีดกันทางการค้า ดังนั้นยิ่งต้องพัฒนาเรื่องมาตรฐาน มี Traceability คือสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคและคู่ค้า GAP จึงเป็นแนวทางปฏิบัติที่ให้ประโยชน์กับทุกฝ่าย”

พร้อมกันนี้สมาคมยังส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงปัจจัยทางการผลิตที่มีคุณภาพ รวมถึงการทำแคมเปญ ‘Eat Safe Live Safe’ (อีทเซฟลีฟเซฟ) หรือ ‘กินอยู่ปลอดภัย’ รณรงค์ให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความปลอดภัยในอาหารรวมถึงวิธีเลือกอาหารปลอดภัยควบคู่กันไปด้วย

“หลายประเทศเกิดวิกฤติขาดแคลน เมล็ดพันธุ์คุณภาพ ปุ๋ย สารกำจัดแมลง เคมีเกษตรคุณภาพอื่น ๆ ในขณะที่ประเทศเราช่วงก่อนหน้านี้สินค้าเกษตรไม่สามารถส่งออกไปได้ ซึ่งการพึ่งพาอุปสงค์และอุปทานจากแหล่งผลิตระหว่างประเทศนี้ทำให้เกิดการทบทวนระบบการผลิตที่หันมาสู่การผลิตเพื่อพึ่งตนเองมากขึ้น ผลที่ตามมาก็คือจากที่เคยผลิตพอส่งออก ก็จะเหลือแค่ผลิตให้พอกินในประเทศ ฉะนั้นในวิกฤตนี้มีโอกาสสำหรับประเทศไทย ในการเป็นผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก ที่มีความได้เปรียบในการเกษตรกรรม มีความพร้อมทั้งด้านภูมิประเทศ และความชำนาญ” ดร.วรณิกากล่าว

ดร.วรณิกา มองว่าการจะผลักดันให้ไทยมีศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลกยุคนิวนอร์มอลได้นั้น เกษตรกรไทยต้องปรับตัวเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ลดการพึ่งพาแรงงาน หันมาใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมให้มากขึ้น เน้นการผลิตเพื่อคุณภาพ มากกว่าปริมาณ วางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับตลาดและสภาพอากาศมากขึ้น รวมทั้งเร่งพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ ให้เข้าถึงองค์ความรู้ข้อมูลต่าง ๆ ยิ่งในช่วงที่ผ่านมามีการเดินทางกลับภูมิลำเนามากขึ้น มีคนรุ่นใหม่ที่หันมาทำการเกษตรมากขึ้น บางคนก็นำเทคโนโลยีมาช่วยหาตลาด หาช่องทางการขายให้ครอบครัว ซึ่งถ้าสามารถนำนวัตกรรม เทคโนโลยี ผสานกับความรู้พื้นฐานด้านเกษตรที่ส่วนใหญ่มีกันอยู่ มาต่อยอดร่วมกับปัจจัยการผลิตอื่น ๆ ก็จะสามารถสร้างระบบสมาร์ทฟาร์มมิ่งได้

“การจะปรับเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรที่ทำสืบต่อกันมายาวนานต้องอาศัยหลายปัจจัยในการทำให้บรรลุผล ซึ่งก็รวมไปถึงนโยบายของภาครัฐ ที่จำเป็นจะต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง และเอื้อประโยชน์ต่อเกษตรกรด้วย รัฐบาลต้องมีมาตรการในการสนับสนุนเกษตรกรอย่างจริงจัง และที่สำคัญที่สุด ต้องเล็งเห็นอย่างถ่องแท้ถึงวิกฤตที่เกิดขึ้นจากนโยบายหรือมาตรการที่มิได้พิจารณาจากข้อเท็จจริง ความจำเป็นที่แท้จริงในการทำเกษตรกรรม อันจะนำไปสู่ความเสียหายของภาคเกษตรในอนาคตอันใกล้นี้ รัฐจำเป็นต้องหาทางแก้ไขและฟังเสียงเกษตรกรผู้เป็นผู้ปฏิบัติ จึงจะสามารถฝ่าวิกฤต และผลักดันให้การเกษตรไทยแข็งแกร่งในเวทีโลกได้”