ซีพีเอฟ ครึ่งปีแรกกำไร 12,139 ล้านบาท เติบโต 45% ปันผลระหว่างกาล 0.40 บาทต่อหุ้น ปัจจัยหลักจากโรค ASF ขาดแคลนสุกรในเอเชีย พร้อมผลงานธุรกิจสัตว์น้ำ คาดครึ่งปีหลังดีต่อเนื่องเป็นปีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” เปิดเผยว่า รายได้จากการขาย 6 เดือนแรกของปี 2563 จำนวน 281,940 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9% โดยรายได้จากการขายของกิจการในต่างประเทศ 16 ประเทศเติบโต 12% และกิจการประเทศไทยเติบโต 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิ 12,139 ล้านบาท เติบโต 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- รักษาการอธิบดี DSI เปิดเงื่อนไข “ขนย้ายกากแคดเมียม” เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่
โดยมีปัจจัยหลักจากภาวะการขาดแคลนสุกรที่สืบเนื่องมาจากการระบาดของโรค ASF (African Swine Fever) ในเอเชีย และผลการดำเนินงานของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
“ผลประกอบการที่ดีขึ้นส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของกิจการในต่างประเทศที่เข้าไปลงทุนในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาและจากการขาดแคลนสุกรในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม เนื่องจากการระบาดของโรค ASFหากภาวะขาดตลาดดังกล่าวอาจจะยังคงต่อเนื่องจากการที่ยังไม่มีวัคซีนและการลงทุนเลี้ยงสุกรมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในการป้องกันทางชีวภาพและการบริหารจัดการป้องกันโรคที่เข้มงวดขึ้น”
สำหรับผลกระทบจากโรคระบาด COVID-19 ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจซบเซาและกำลังซื้อที่ลดลง ธุรกิจของบริษัทได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากนัก เนื่องจากสินค้าของซีพีเอฟเป็นสินค้าจำเป็นในการยังชีพ และบริษัทได้มีการขับเคลื่อนกลุยุทธ์ด้านการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำงานมากขึ้น พร้อมไปกับปรับรูปแบบการทำงานและการขายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
นอกจากนี้ ธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมากจากประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้น ทำให้ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด
นายประสิทธิ์กล่าวถึงแนวโน้มในครึ่งหลังปีนี้บริษัทน่าจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง ปีนี้น่าจะเป็นปีที่มีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากปัจจัยหลัก คือ ภาวะขาดแคลนสุกร ส่งผลให้ราคาตลาดสูงกว่าปีก่อน และความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยน่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้ง การเติบโตของธุรกิจจากการเพิ่มมูลค่าและการลงทุน และยังคาดว่าแนวโน้มการบริโภคน่าจะปรับตัวดีขึ้น
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนปีนี้ ในอัตราหุ้นละ 40 สตางค์ โดยจะทำกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 (ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 สิงหาคม) และจะทำการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 11 กันยายนนี้