ไบโอไทยร้องสอด “ซินเจนทา” คดีแบนพาราควอต

เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีฯ ร้องสอดคดี “ซินเจนทา” บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิต พาราควอต ฟ้องรัฐออกประกาศแบน 3 สารเคมี ทำอุตสาหกรรมเสียหาย เผยเตรียมใช้ข้อมูลโต้แย้งในคดีเต็มที่ ชี้คุ้มครองสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ยึดหลักสุขภาพประชาชน ยันสำนักงานใหญ่ สวิตเซอร์แลนด์เองได้ห้ามใช้พาราควอตมากว่า 20 ปีแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 18 ส.ค.2563 เวลา 14.30 น. ที่ศาลปกครองกลาง เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีจำกัดศัตรูพืช มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและมูลนิธิชีววิถี (BioThai) นำโดย น.ส.ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และนายอัมรินทร์ สายจันทร์ ทนายความมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม เข้ายื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางเพื่อขอเป็นผู้ร้องสอดในคดีที่บริษัท ซินเจนทา คอร์ป โปรเทคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ประกอบการผลิตและนำเข้าสารพาราควอต ที่ใหญ่ที่สุดในโลกยื่นฟ้องกระทรวงอุตสาหกรรมและพวกรวม 5 ราย ต่อศาลปกครอง เพื่อให้เพิกถอนประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมที่แบนสารพารา ควอต และคลอร์ไพริฟอส ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา

โดย น.ส.ปรกชล กล่าวว่า หลังรัฐบาลมีประกาศแบนสารเคมีดังกล่าว พบว่า บริษัทซินเจนทาฯ ได้ยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐต่อศาลปกครอง ทำให้ทางเครือข่ายเห็นว่าจำเป็นต้องเข้ามาให้ข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์ในการสู้คดีของหน่วยงานรัฐ และเป็นการปกป้องประชาชนให้ปลอดภัยจากสารเคมีอันตรายดังกล่าว

ADVERTISMENT

ซึ่งบริษัทซินเจนทาฯ เป็นบริษัทที่ผลิตสารเคมีรายใหญ่ของโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นั้นเป็นประเทศที่มีการยกเลิกใช้สารเคมีดังกล่าวมากว่า 20 ปีแล้ว แต่บริษัทกลับมาเรียกร้องให้มีการยกเลิกประกาศแบนสารเคมีดังกล่าว

“อยากย้ำว่าสารเคมีทั้งสองตัวที่มีการยกเลิกนั้นเป็นสารอันตรายและกว่า 60 ประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงประเทศที่เป็นผู้ผลิตสารก็มีการยกเลิกการใช้ไปแล้ว โดยเหตุผลหลักเป็นสารที่มีพิษ เกษตรกรในประเทศไทยไปฉีดพ่นสารนี้ ทั้งที่มีการเจือจางก็ทำให้เสียชีวิตได้ จึงไม่สมควรที่จะใช้ แม้จะมีความพยายามในการป้องกันแล้ว ก็ไม่สามารถลดความเสี่ยงได้

และที่สำคัญสารตัวนี้มีความสัมพันธ์ต่อการก่อโรคพาคินสัน ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์ก็พบการตกค้างในพืชผัก แม้การใช้สารเป็นเพียงการฉีดพ่นวัชพืช สารนี้จึงมีพิษสูงโดยเฉพาะกับระบบประสาท ส่งผลเด็กทารกที่ได้รับสารนี้ตั้งแต่อยู่ในท้อง ผ่านการรับประทานผักผลไม้ของมารดาที่ปนเปื้อนสารนี้ ก็จะทำให้มีปัญหาพัฒนาการทางสมอง และจะมีผลกระทบเรื้อรังไปตลอดชีวิต สารทั้งสองตัวนี้จึงควรต้องถูกแบนตลอดไป”

ADVERTISMENT

นอกจากนี้หลังจากรัฐประกาศยกเลิกการใช้ 2 สารพาราควอต-ควอร์ไพริฟอส ทางเครือข่ายก็ได้ลงสำรวจเบื้องต้นพบว่าเกษตรกรรายย่อยจำนวนมาก ไม่ได้พึ่งพาการใช้สารนี้อยู่แล้ว โดยผลสำรวจที่ออกมาเกษตรกรก็เห็นด้วยกับการยกเลิกสารดังกล่าว แต่ในพืชผักบางประเภทยังต้องการได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ เรื่องสารทดแทนอื่นๆ ก็เป็นเรื่องที่ทางเครือข่ายพยายามจะผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐเข้าไปดูแล

ขณะที่ นางนฤมลกล่าวว่า มูลนิธิฯ มีตัวอย่างของคนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้สารพาราควอตในต่างจังหวัด ซึ่งอยู่ระหว่างการช่วยเหลือในเรื่องของการดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจ ดังนั้น ข้อมูลค่อนข้างขัดเจนว่าเป็นโรคที่เกิดจากผลกระทบของการใช้สารพาราควอต โดยผู้เสียหายที่เราช่วยเหลืออยู่ส่วนใหญ่จะเป็นโรคเนื้อเน่า ซึ่งอยากจะฝากถึงประชาชน ขอให้ทุกคนรณรงค์เลิกใช้สารเคมีนี้ ต่อไปเพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ADVERTISMENT

ด้านนายอัมรินทร์ กล่าวว่า การที่เรามาร้องสอด เพื่อที่จะได้มีโอกาส เข้าไปตรวจสอบสำนวน และจะได้ร่วมจัดทำคำให้การ ข้อมูลเสนอต่อศาล ซึ่งเราจะพยายามโต้แย้งด้วยการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการ ว่าสารดังกล่าวมีอันตราย เพื่อให้ศาลได้ข้อมูลครบถ้วนรอบด้าน