กรมชลประทาน วอนเกษตรกรงดทำนาต่อเนื่อง ย้ำน้ำเขื่อนเหลือน้อยมาก

วันที่ 5 ต.ค.นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมชลประทาน (ด้านบำรุงรักษา) รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน (ชป.)​ เปิดเผยว่า สถานการณ์ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนเหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปัจจุบัน

มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 11,663 ล้านลูกบาศก์เมตร​ (ลบ.ม.)​ หรือคิดเป็น 47% ของความจุอ่างฯรวมกัน มีน้ำใช้การได้ประมาณ 4,967 ล้าน ลบ.ม. จะเห็นได้ว่าปริมาณน้ำใช้การได้ของ 4 เขื่อนหลัก ยังคงอยู่ในเกณฑ์น้อย ในขณะที่ใกล้จะสิ้นสุดฤดูฝนแล้ว

อย่างไรก็ดี ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดไว้ว่าจะสิ้นสุดฤดูฝนประมาณกลางเดือนตุลาคมนี้ ก่อนที่ฝนจะเลื่อนลงไปสู่ภาคใต้ต่อไป ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งหน้าที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

และสอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งปริมาณน้ำที่มีอยู่จะสนับสนุนได้เฉพาะการอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศเท่านั้น จึงขอให้เกษตรกรที่ได้ทำการเก็บเกี่ยวข้าวนาปีไปแล้ว งดทำนาปีต่อเนื่อง เพื่อสำรองน้ำไว้ในอ่างฯให้มากที่สุด และเพียงพอใช้ตลอดฤดูแล้งปี 2563-2564 ต่อไป

นอกจากนี้กรมชลฯ ได้เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทั้งในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน ตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่องหย่อมความกดอากาศต่ำ กำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางและมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันในวันที่ 6 ตุลาคม

ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในวันที่ 7-9 ตุลาคม 2563 จะทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ โดยได้สั่งการให้ทุกโครงการชลประทานเฝ้าระวังติดตามปริมาณน้ำ

ทั้งในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 90% พร้อมบริหารจัดการน้ำให้อยู่ในเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำ รวมทั้งพิจารณาปรับการระบายน้ำให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์

“กรณีสิ้นสุดนาปีแล้วนั้น เพื่อป้องปรามเกษตรกรที่เกี่ยวข้าวแล้วบางส่วนที่จะหว่านปลูกต่อทันที เพราะเสี่ยงขาดน้ำ ในขณะที่ปริมาณน้ำในเขื่อนจะต้องสำรองไว้ใช้แล้งหน้าให้มากที่สุด แม้ว่านาปีทำไปแล้ว และเริ่มเก็บเกี่ยวแล้ว แต่จะมีบางส่วนที่คิดว่ามีน้ำพอ จึงเสี่ยงทำต่อเลยโดยไม่พักดิน ซึ่งเสี่ยงที่จะขาดน้ำได้ในอนาคต จึงต้องขอให้งดทำนาปีต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงต่อผลผลิตเสียหายได้ ส่วนนาปรังรอประกาศเมื่อสิ้นสุดฤดูฝน”

สำหรับกรณีของเขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก ปัจจุบันมีปริมาณน้ำใกล้จะเต็มอ่างฯ นั้น เนื่องจากอิทธิพลของร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่าน ทำให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ตอนบนบริเวณเขาใหญ่ ส่งผลให้มีน้ำไหลลงอ่างฯอย่างต่อเนื่อง

ได้สั่งการให้ระบายน้ำเพื่อควบคุมปริมาณน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุม โดยไม่ให้กระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายเขื่อน ขอให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นในการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในส่วนของความมั่นคงแข็งแรงของตัวเขื่อนนั้น ขณะนี้ ได้สั่งการให้ผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่จากส่วนความปลอดภัยเขื่อนของกรมชลฯ ลงพื้นที่ไปตรวจสอบสภาพความมั่นคงของเขื่อนขุนด่านฯอย่างละเอียด

เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกภาคส่วนว่า เขื่อนขุนด่านปราการชล ยังมีความมั่นคงแข็งแรง ปลอดภัย และสามารถเก็บกักน้ำเพื่อสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งหน้านี้อย่างเต็มศักยภาพ” นายสัญญา กล่าว

นายสัญญา กล่าวว่า ปัจจุบัน เขื่อนขุนด่านฯ มีปริมาณน้ำในอ่างฯประมาณ 214 ล้าน ลบ.ม. หรือ 97% ของความจุอ่างฯ มีการระบายน้ำวันละประมาณ 7.21 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำนี้จะไหลลงสู่แม่น้ำนครนายก ยังสามารถรับการระบายน้ำจากอ่างฯได้อีกประมาณ 172 ลบ.ม.ต่อวินาที หรือประมาณ 15 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ยังไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายเขื่อน