ส่งออกไทยเริ่มฟื้น ติดลบน้อยลงมั่นใจทั้งปีติดลบไม่ถึงเลข 2 หลัก

“พาณิชย์” เผยส่งออกเดือน ก.ย.63 มีมูลค่า 19,621.32 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 3.86% ฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน คาดทั้งปีติดลบ 7% ไม่ลบหนักถึง 2 หลัก ชี้ปัจจัยเสี่ยง เพื่อนบ้านโควิด-19 ระบาด กระทบค้าชายแดน เลือกตั้งสหรัฐฯ มีผลต่อนโยบายการค้า ส่วนการเมืองในประเทศ ไม่กระทบส่งออก แต่มีผลต่อการลงทุน

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนกัยยายน 2563 มีมูลค่า 19,621.32 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 3.86% เป็นการติดลบน้อยลง ซึ่งถือเป็นการฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน จากเดือนที่ผ่านมา  และยังเป็นสัญญาณที่ดี จากการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น ผลจากการส่งออกสินค้าหลายตัวเพิ่มขึ้น ไม่ใช่จากการส่งออกทองคำเป็นตัวดันส่งออก ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 17,391.20 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 9.08% ส่งผลให้ไทยมีการค้าเกินดุลการค้า 2,230.1 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับการส่งออกในช่วง 9 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-ก.ย.) มีมูลค่า 172,996.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.33% การนำเข้ามีมูลค่า 152,372.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 14.64% ส่งผลให้ไทยมีการค้าเกินดุลการค้า มูลค่า 20,623.7 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของสินค้าส่งออกในหลายกลุ่ม  โดยเฉพาะสินค้า 3 กลุ่มหลัก ที่ส่งออกเติบโตได้ดี คือ สินค้าอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำมันปาล์ม สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง เครื่องดื่ม สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้า และโซลาร์เซลล์ และสินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น ถุงมือยาง

อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าหลายตัวยังคงส่งออกได้ลดลง เช่น น้ำตาลทราย ข้าว ยางพารา ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป อัญมณีและเครื่องประดับ ไม่รวมทองคำ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และทองคำ

นอกจากนี้ แนวโน้มการส่งออกของไทยถือว่าฟื้นตัวอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ถือว่าติดลบน้อยลง โดยการส่งออกไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะส่งออกได้มูลค่า 56,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 6% ทำให้ยอดรวมทั้งปี 2563 จะส่งออกได้มูลค่า 228,904 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบประมาณ 7% ไม่ติดลบถึง 2 หลัก อย่างที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

สำหรัยปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องติดตามในช่วงที่เหลือของปีนี้ ที่คาดว่าจะมีผลต่อการส่งออก คือ การระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะในเมียนมา ที่จะกระทบต่อการค้าชายแดนในระยะสั้น แต่ประเทศไกลๆ ไม่มีผลมากนัก การระบาดระรอบ 2 หากเกิดขึ้นมองว่ายังไม่มีผลกระทบในทันที เพราะสินค้าส่วนใหญ่ส่งออกไปแล้ว แต่จะไปมีผลในช่วงไตรมาสแรกปี 2564

ทั้งนี้  ยังต้องจับตานโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังการเลือกตั้ง ที่จะต้องติดตามว่าสหรัฐฯ จะใช้วิธีไหนกับจีน เพราะไม่ว่าใครจะได้รับการเลือกตั้งระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับนายโจ ไบเดน ความขัดแย้งกับจีนก็จะยังคงมีอยู่ แต่วิธีการอาจจะไม่เหมือนกัน ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่า ทรัมป์มีโจทย์ง่าย ทะเลาะโดยตรง แต่ไบเดน ต้องตีโจทย์ว่าจะทำอย่างไร ไม่เน้นทะเลาะตรงๆ เน้นการหาพวกมากดดัน

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการมีวัคซีนโควิด-19 หากใครมีก่อน เศรษฐกิจของประเทศนั้นก็จะฟื้นตัวแบบหัวกระสุนซินคันเซน เศรษฐกิจจะเทไปทางนั้น ไม่รู้ว่าฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป หรือเอเชีย ที่จะเจอก่อน ส่วนปัญหาการเมืองในประเทศ ไม่มีผลกระทบต่อการส่งออก เพราะเป็นเรื่องการค้าขายระหว่างประเทศ แต่จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุน โดยนักลงทุนจะใช้เป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณา ถ้านักลงทุนไม่มา การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยยังต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศ ก็จะชะงัก และมีผลกระทบต่อการส่งออกในระยะยาว