พิษโควิด ฉุดรายได้ “อีสท์ วอเตอร์” ลด 10% สูญ 400 ล้านบาท ยังมีหวังปีหน้าเศรษฐกิจฟื้นหลังพบวัคซีน เดินหน้าลงทุนระบบบริหารจัดการน้ำครบวงจร 1,600 ล้านบาท ลุยวางระบบท่อ สร้างแหล่งผันน้ำจากพื้นที่ไกล พร้อมปักหมุดป้อน EEC ความมั่นคงน้ำระยะยาว 10 ปี
นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรืออีสท์ วอเตอร์ หรือ EASTW เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมใช้น้ำน้อย การใช้น้ำจากผู้อุปโภคบริโภคจากลูกค้าน้อยลง นักท่องเที่ยวลดลง
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ตรวจหวย ใบตรวจหวย ผลรางวัล สลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน 2567
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
โดยคาดการณ์ทั้งปีปริมาณการขายน้ำจะอยู่ที่ 260 ล้านลูกบาศก์เมตร ลดลงจากปีก่อนที่ขายได้ 296 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้ปี 2563 คาดว่ารายได้ลดลง 10% เหลือมูลค่า 4,000 ล้านบาท จากปีก่อนหน้า 4,400 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คาดว่าไตรมาส 4 แนวโน้มเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว ต่อเนื่องไปถึงปี 2564 คาดว่าภาคอุตสาหกรรมเริ่มฟื้นตัว ซึ่งจะทำให้ปริมาณการขายน้ำเพิ่มขึ้นจากปีนี้เล็กน้อย มีปริมาณ 290 ล้านลูกบาศก์เมตร เทียบแล้วอาจใกล้เคียงปี 2562 จากปัจจัยที่คาดว่าจะมีวัคซีนเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาคการท่องเที่ยวน่าจะเริ่มฟื้นกลับมา แต่ยังอาจจะไม่เต็มที่มากนัก
“ปีนี้เจอสถานการณ์โควิด-19 ภาคอุปโภคบริโภคจึงน้อยลง รวม ๆ แล้วลดไป 10% ถ้าเทียบแล้วใกล้เคียงปี’62 ซึ่งคาดหวังว่าปีหน้าจะดีขึ้น พอมีวัคซีนเกิดขึ้นการท่องเที่ยวน่าจะเริ่มกลับมา แต่คงไม่เต็มที่มากนัก คงค่อย ๆ กลับมา รายได้ปี 2564 น่าจะโตประมาณ 10% เทียบเท่าปี 2562″
“ทั้งนี้ ต่อจากนี้เรายิ่งต้องพัฒนาหลายอย่าง มีทั้งการลงทุนทั้งระบบน้ำประปา เนื่องจากปีนี้และที่ผ่านมาเกิดภัยเเล้ง บริษัทเองก็ซื้อน้ำดิบจากเอกชนเองเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีต้นทุนค่อนข้างสูง พร้อมทั้งมีแผนการผันน้ำจากพื้นที่ที่มีอ่างเก็บน้ำที่ไกลขึ้นจึงต้องลงทุนเพื่อความมั่นคงระยะยาว”
นายจิรายุทธกล่าวว่า ในปี 2564 บริษัทเตรียมงบประมาณลงทุนการบริหารจัดการน้ำครบวงจร 1,600 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้จะเป็นการวางระบบท่อส่งน้ำ 550 ล้านบาท ที่ทางอีสท์ วอเตอร์ ยังคงเดินหน้าแนวคิดในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา
โดยมีระบบท่อส่งน้ำดิบหนองปลาไหล-ดอกกราย-มาบตาพุด-สัตหีบ สามารถส่งจ่ายน้ำดิบได้มากถึง 318 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี หรือประมาณ 0.87 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน อีกทั้งได้ศึกษาความเหมาะสมการวางท่อส่งน้ำมาบตาพุด-สัตหีบ เส้นที่ 2 เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตเพิ่มศักยภาพการส่งจ่ายน้ำดิบในระยะยาว 10 ปี
พร้อมทั้งมีการออกแบบระบบผลิตน้ำประปา ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขนาดกำลังการผลิต 20,000 ลบ.ม.ต่อวัน ซึ่งเป็นการผลิตน้ำประปาที่สะอาดมีคุณภาพระดับสากล ลดการใช้พื้นที่ติดตั้ง มีกำลังการผลิตได้ตามความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น ออกแบบระบบบำบัดน้ำเสียให้เหมาะกับโครงการที่เป็นการพัฒนาพื้นที่ในระยะยาว รองรับน้ำเสีย 16,000 ลบ.ม.ต่อวัน
เป็นการบริหารจัดการน้ำเสียที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบสนามบิน ควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนในระบบนิเวศ สร้างระบบน้ำรีไซเคิลกำลังการผลิต 5,000 ลบ.ม.ต่อวัน
โดยนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ในระบบทำความเย็นกลาง เน้นย้ำให้เห็นถึงการเป็นผู้นำในด้านการบริหารจัดการน้ำครบวงจร และใส่ใจในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง ซึ่งอีสท์ วอเตอร์ จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำแบบครบวงจร สร้างความมั่นคงและเสถียรภาพด้านน้ำ รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนของโครงการอีอีซีในอนาคต
นายจิรายุทธกล่าวถึงแนวทางการจัดเก็บอัตราค่าน้ำจากภาครัฐนั้น ยังไม่ทราบแนวทางและข้อสรุปการออกกฎหมายลูกในการจัดเก็บค่าน้ำตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 คาดว่าคงอยู่ระหว่างศึกษาหลักเกณฑ์ ซึ่งบริษัทเองยังคงเฝ้าติดตาม
ส่วนการใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่ายังคงพิจารณาปรับโครงสร้างค่าน้ำให้สอดรับกับระบบสากลเช่นกัน
สำหรับสถานการณ์น้ำในช่วง 9 เดือนแรก จนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2563 แหล่งน้ำของบริษัทในพื้นที่ จ.ชลบุรี และระยอง ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลักบางส่วนสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะ 10 ปี (2554-2563) เนื่องจากมีฝนตกลงมามากในไตรมาส 3
โดย จ.ชลบุรี อยู่ที่ 57% ของความจุอ่าง ขณะที่ จ.ระยอง อยู่ที่ 90% ของความจุอ่าง ทั้งนี้ นับจากเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม 2564 คาดว่าจะมีปริมาณฝนใกล้เคียงค่าปกติ
รายงานข่าวระบุว่า รายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของ EASTW เท่ากับ 3,153.50 ล้านบาท ลดลง 10.42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบ 58% มูลค่า 1,852.72 ล้านบาท ลดลง 5.40% รายได้จากการจำหน่ายน้ำประปา 35% หรือมูลค่า 1,106.36 ล้านบาท รายได้ค่าเช่าและค่าบริการ มูลค่า 97.56 ล้านบาท และรายได้ค่าก่อสร้างภายใต้สัญญาสัมปทาน 157.13 ล้านบาท