ในปี 2564 จะเป็น chapter ใหม่ของ “ไทยออยล์” หรือ TOP ก้าวสู่ปีที่ 60 ที่จะไม่ใช่เป็นเพียงแค่ธุรกิจ “ออยล์” หรือน้ำมันอีกต่อไป แต่จะเป็นบริษัทด้านพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่มีสายการผลิตที่ยาวที่สุด ตั้งแต่โรงกลั่นน้ำมัน ไปสู่ปิโตรเคมีในสายอะโรเมติกส์ และสายโอเลฟินส์ ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูงจากที่ได้ขยายการลงทุน Clean Fuel Project (CFP) ไปก่อนหน้านี้ ก่อสร้างไปกว่าครึ่งทางแล้ว คาดว่าจะสำเร็จในปี 2566 และรุกธุรกิจดาวน์สตรีมเพื่อเชื่อมกับ CFP ต่อไป
ในอีกมุมหนึ่งไทยออยล์ยังมีธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจเรือขนส่งด้วย ซึ่ง “นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปี 2564 จะมีการปรับโครงสร้างธุรกิจไฟฟ้า
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
ขายหุ้น GPSC สู่มือ ปตท.
เขาฉายภาพธุรกิจไฟฟ้าว่า ปัจจุบันไทยออยล์ถือหุ้นบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC อยู่จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2563 ถืออยู่ 24.5% ขายหุ้น 3.5% ให้ ปตท. มูลค่า 17,000 ล้าน เพราะเราถือเยอะเกิน
ย้อนไปก่อนหน้านี้ บริษัทเป็นผู้ก่อตั้ง GPSC เอาโรงไฟฟ้าหลาย ๆ โรงมารวมกัน ซึ่งโรงใหญ่โรงหนึ่งของ GPSC คือ IPT ของไทยออยล์ ย่อมาจาก Independence Power Thailand ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็น IPP บริษัทแรกในไทย เราเลยมีหุ้นใน GPSC ค่อนข้างเยอะ
“ตอนที่ขายหุ้นให้ ปตท.ก็มีคำถามจากพวกผู้ถือหุ้นว่าขายไปทำไม แต่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นประมาณ 99.97% อนุมัติว่าเราจะลดสัดส่วนนิดหนึ่งใน GPSC แต่เราไม่ได้บอกว่าเราไม่โต แต่เราจะไดเร็กต์โฟกัสเรื่อง renewable พวกโซลาร์วินด์พวกนี้ เพราะหนึ่งเรามีความต้องการที่จะใช้พลังงานของเราเองส่วนหนึ่ง ฉะนั้น เราก็จะ serve ส่วนนี้”
“แต่ขณะเดียวกัน ผมมองเรื่อง supply chain ว่าเราจะไปลงทุนประเทศต่าง ๆ 4-5 ประเทศที่เป็นโฟกัสแอเรียพวกนี้มีความต้องการไฟฟ้าเยอะมากเราก็ดูตามโปรเจ็กต์ในเวียดนาม เมียนมา หลาย ๆ ประเทศ ซึ่งหลายโปรเจ็กต์ตอบโจทย์เราเรื่อง renewable เราจะไปลงทุน โดยจะร่วมกับกลุ่ม ปตท.ด้วย เพราะเขาก็เซตทาร์เก็ตว่าภายใน 5 ปี ได้ 8,000 เมกะวัตต์ ในกลุ่มไฟฟ้าทั้งกลุ่มต้องการเติบโตแบบก้าวกระโดด ฉะนั้น เราไม่ห่วงว่าจะไปแข่งกันเอง”
โอกาสขยายลงทุนในไทย
ส่วนแผนการขยายการลงทุนไฟฟ้าในไทยนั้น เขายอมรับว่ายังมีแผนบ้าง แต่ด้วยเหตุที่อัตราเติบโต (growth) ในไทยมีปริมาณน้อย และปริมาณสำรอง (รีเซิร์ฟ) ไฟฟ้าในไทยล้น เทียบกับต่างประเทศที่มีปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงมาก โดยเฉพาะในเวียดนาม หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติขยายการลงทุนเข้าไป และยังมีเมียนมา อินเดีย และอินโดนีเซีย ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากเช่นกัน
ปรับโครงสร้างธุรกิจไฟฟ้า
นายวิรัตน์กล่าวถึงธุรกิจไฟฟ้าในไทยว่า ถ้าพูดถึงในไทยเรากำลังทำ คือ เรามีโรงไฟฟ้า 100 เมกะวัตต์ ของไทยออยล์ เพาเวอร์ อายุ 27 ปี ที่สัญญาจะหมดอายุอีก 3 ปีข้างหน้า เราจะลงทุนสร้าง SPP โรงใหม่ขึ้นมา แต่ไม่ได้เพิ่มคาพาซิตี้แต่จะเป็นการ replace ของเก่าซึ่งเช่าพื้นที่ราชพัสดุ โรงไฟฟ้านี้บริษัทใช้รองรับการใช้ภายใน
“เหตุที่สร้างใหม่ทับเพราะได้พิสูจน์แล้วว่าการยืดอายุต่อไม่มีประโยชน์ เพราะมันได้ไม่ยาว และไม่เอฟฟิเชียนต์ ฉะนั้น ทุบทิ้งไปซะ นี่เป็นสัญญาของ EGAT เดิมเคยมีไอเดียว่าจะ repowering คือ ไปปรับปรุง เสร็จแล้วใช้ได้ 5 ปี และ efficiency สู้ของใหม่ไม่ได้”
จ่อเลิกสถานะ-ประหยัดภาษี
“ปีหน้าประมาณไตรมาส 2 จะยกเลิกสถานะบริษัท โดยอาจจะเปลี่ยนชื่อบริษัทเพราะเราอาจจะยุบบริษัทนั้น ไม่ใช้ไทยออยล์ เพาเวอร์ เราจะ EBT คือ entry business transfer ก็คือเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจไฟฟ้าของเรา เราจะเลิกบริษัทนี้และเราจะถือตรง เช่น GPSC ที่ถือโดยไทยออยล์ เพาเวอร์”
“พอมันถือขาดทำให้การที่เรารับดิวิเดนด์กลับมา เราต้องเสียภาษี ซึ่งเฉพาะภาษี 10% พอปรับโครงสร้างก็ช่วยเซฟภาษีไปหลายร้อยล้านบาท อีกหน่อย GPSC ยิ่งโตเท่าไร ดิวิเดนด์เพิ่มขึ้น ภาษีเพิ่มขึ้น เราจึงถือโอกาสขายหุ้นไปแล้วก็ปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งการยุบบริษัทไม่ได้มีผลต่อพนักงาน เพราะเป็นบริษัทโฮลดิ้งไม่ได้มีพนักงาน”
สัดส่วนรายได้อนาคต
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้บริษัท 80% มาจากธุรกิจปิโตรเลียม อีก 15-20% มาจากธุรกิจไฟฟ้า หลัก ๆ ก็คือการลงทุนใน GPSC ที่ได้ผลตอบแทนกลับมา รวมถึงไทยออยล์ เพาเวอร์คือมีทั้งการลงทุนทางตรงและทางอ้อม
แต่ต่อไปไทยออยล์จะลงทุนโดยตรงในธุรกิจโรงไฟฟ้า มองไปข้างหน้า 10 ปี หรือในปี 2030 หรือเร็วกว่านั้นสัดส่วนรายได้ของปิโตรเลียมเหลือแค่ 40-50% ไปเพิ่มปลายน้ำ ซึ่งอีก 40% จะมาจากปิโตรเคมีโดยเฉพาะโอเลฟินส์ ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้าจะยังคงอยู่ที่ 15% และอีก 5% เป็นผลตอบแทนจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ กลุ่มสตาร์ตอัพ โดยเวนเจอร์แคปิตอลต่าง ๆ