ลดขาดทุน-แก้ภาพลบ อคส. เดิมพันสุดท้าย ลุ้น สคร.ยุบ

ลุยรีแบรนด์ข้าวถุง อคส. หวังเพิ่มรายได้ปี’63 ถึง 1,300 ล้าน ปูพรมขายผ่านร้านธงฟ้า-โมเดิร์นเทรด HORECA รุกตลาดจีนผ่าน Tmall พร้อมกู้ภาพลักษณ์องค์กร ปัดข่าวยุบหลังขาดทุนสะสม

นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า ในปี 2564 อคส.ปรับแผนการทำตลาดข้าวถุง เนื่อจากในปีที่ผ่านมา รายได้จากการขายข้าวให้กับเรือนจำลดลง 40-50% ประกอบกับภาพลักษณ์ขององค์กรจากปัญหาถุงมือยางมีผลต่อการซื้อ-ขายข้าว

เกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.)
เกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.)

สำหรับแนวทางการปรับการทำตลาดข้าวถุง อคส.จะมีการปรับรีแบรนด์จาก PWO เป็นข้าวถุง อคส. เพื่อสื่อความหมายว่านี่คือ ข้าวของ อคส. ปรับบรรจุภัณฑ์ พร้อมจัดทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย เช่น ซื้อ 1 ถุงราคา กก.ละ 44 บาท ซื้อครบ 5 ถุงแถมฟรี 1 ถุง

เพื่อช่วยเหลือประชาชนลดค่าครองชีพในช่วงปัญหาที่เจอวิกฤตของโควิด-19 ด้วย ทั้งยังได้ประสานไปยังเกษตรกรเตรียมเพิ่มข้าวชนิดอื่นมาจำหน่ายเพิ่มจากเดิมที่ขายเพียงข้าวหอมมะลิเท่านั้น

โดยเบื้องต้นได้ประสานกับกลุ่มเกษตรกรลพบุรี และบุรีรัมย์ ในการเพิ่มชนิดข้าวมาจำหน่าย คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนเมษายนนี้ แต่ได้เริ่มทดลองทำตลาดตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อดูการตอบรับจากตลาด

ส่วนช่องทางการจำหน่ายข้าวถุง อคส. จะเน้นขายผ่านร้านธงฟ้าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และในอนาคตเมื่อผลตอบรับดีจะกระจายการจำหน่ายไปตามร้านธงฟ้าหัวเมืองใหญ่ ๆ เช่น เชียงใหม่ นครราชสีมา พิษณุโลก ส่วนข้าวหอมมะลิซึ่งเป็นข้าวพรีเมี่ยมของ อคส.นั้น จะเน้นขายเข้าโมเดิร์นเทรด วิลล่ามาร์เก็ต และเพิ่มการขายผ่านช่องทางออนไลน์ อย่าง Tmall ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีเครือข่ายอยู่

โดย อคส.ตั้งเป้าว่าปี 2564 นี้จะมีรายได้ 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีรายได้ 1,260 ล้านบาทหลัก ๆ มาจากขายข้าวถุง ค่าเช่าพื้นที่ และในปี 2565 อคส.จะเพิ่มรายได้ถึง 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นปีละ 10%ให้ได้ หากการจำหน่ายข้าวถุงประสบความสำเร็จ อคส.อาจมีรายได้ถึง 4,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ การปรับการดำเนินงานของ อคส. เป็นไปตามยุทธศาสตร์ ปี 2564 ที่ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมภายใน อคส. ว่าจะมีการปรับโครงสร้างรองรับการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ซึ่งได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหาร อคส. ให้ดำเนินการตามกระบวนการภายในต้นเดือนมกราคม 2564 นี้

ส่วนยุทธศาสตร์การสร้างรายได้ให้ดำเนินการตามแนวนโยบาย แก้มลิง++ (แก้มลิงพลัสพลัส) เป็นการแทรกแซงกลไกการตลาด เพื่อให้เกิดความสมดุลในการสร้างราคาที่เป็นธรรม รวมถึงนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ เพื่อเพิ่มผลผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่ม ก่อให้เกิดรายได้ทั้งกับ อคส.และเกษตรกรอย่างยั่งยืน

ส่วนแผนพัฒนาคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ มีการวางแนวทางอย่างชัดเจน โดยเริ่มจากการพัฒนาคลังสินค้าราษฎร์บูรณะ ซึ่งมีแนวทางลงทุนสร้างห้องเย็น ความจุ 600 ตัน เพื่อเก็บและรักษาคุณภาพสินค้าทางการเกษตรและประมง

จะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2564 และขยายการลงทุนต่อเนื่องเพิ่มเติม ในปี 2565-2567 ส่วนแผนการพัฒนาท่าเทียบเรือให้ได้มาตรฐาน เพื่อรองรับเรือขนส่งสินค้าขนาด 5,000 ตัน จะช่วยให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 150 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะพัฒนาคลังสินค้าธนบุรี และคลังอื่น ๆ เพื่อเกิดการใช้พื้นที่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในการสร้างรายได้ให้กับองค์กร และแผนการสร้างรายได้ด้านการจำหน่ายข้าวสาร ผ่านช่องทางการกระจายสินค้า ทั้งร้านธงฟ้า กลุ่มธุรกิจโฮเรกา (HORECA) และการตลาดแบบ modern trade

ซึ่งมีแนวทางการดำเนินงานและแผนงานที่ชัดเจน โครงการต่าง ๆ และแนวทางการดำเนินงานตามนโยบายเหล่านี้จะทำให้ อคส.มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน เพื่อทดแทนรายได้จากการดำเนินงานตามโครงการของรัฐบาล (โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร) เช่นในอดีตที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีข่าวการยุบ อคส. จากผลขาดทุนสะสมนั้นเป็นข้อมูลผลการดำเนินงานในปี 2562 ล่าสุดจากการประชุมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เมื่อเดือนธันวาคม 2563 มีประเด็นการหารือที่เกี่ยวกับการสร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือในการสนับสนุนการดำเนินงานของ อคส.ตามแผนยุทธศาสตร์

โดยเฉพาะในการสร้างรายได้ บริหารทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ อคส.สามารถเลี้ยงองค์กรได้อย่างยั่งยืน รวมถึงปัญหาภาระค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานตามโครงการรับจำนำ อาจต้องแยกออกจากบัญชีค่าใช้จ่าย อคส.

“การประเมินผลการดำเนินงานเนื่องจากงบฯแสดงฐานะทางการเงินของ อคส. มีกำไรสะสมมากกว่า 700 ล้านบาทในปี 2562 อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้เป็นเรื่องหลักการนโยบายบัญชี ซึ่งจะนำเรียนปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นธรรมแก่ อคส. จากการประชุมหารือกับทาง สคร.ได้รับผลตอบรับที่ดี อคส.จะเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา ลบภาพลักษณ์ที่ไม่ดีจากกระแสภายนอก เพื่อให้ อคส.กลับมายืนเคียงข้างประชาชนต่อไป”