ส่องยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบวงจรคู่ขนาน 5 ปี ของจีน

Photo by STR / AFP) / China OUT

สนค. ประเมินยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบวงจรคู่ขนาน 5 ปี ของจีน พบสินค้า 3 กลุ่มมีความเสี่ยง ‘เทคโนโลยี-พลังงาน-อาหาร’

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ตามที่จีนประกาศยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบวงจรคู่ขนาน (Dual Circulation Strategy) ซึ่งจะเป็นนโยบายหลักในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 5 ปี (ค.ศ. 2021 – 2025) (คาดว่าจะเผยแพร่เดือนมีนาคม 2564) มีเป้าหมายระยะยาวเพื่อสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจของประเทศ

เนื่องจากจีนเล็งเห็นว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยพึ่งพาภาคเศรษฐกิจระหว่างประเทศมีความเสี่ยง สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้หลายประเทศพยายามลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจีน ส่งผลให้จีนมีข้อจำกัดมากขึ้นในการเข้าตลาดประเทศต่าง ๆ

พิมพ์ชนก วอนขอพร

ยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบวงจรคู่ขนาน จีนต้องการลดการพึ่งพาภาคเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยจะมุ่งขยายตลาดในประเทศจากเดิมที่เน้นผลิตเพื่อส่งออก รวมทั้งลดการพึ่งพาการนำเข้าและหันมาผลิตเองมากขึ้น ซึ่งจากจำนวนประชากรกว่า 1,400 ล้านคน การบริโภคภายในประเทศสามารถเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อนำไปสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนสำหรับจีนได้

นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาวิเคราะห์ของ Economist Intelligence Unit (EIU) เห็นว่ามี 3 อุตสาหกรรมที่จีนมีความเสี่ยงสูงจากการพึ่งพาการนำเข้า และมีแนวโน้มที่จีนจะลดการพึ่งพาการนำเข้าในอุตสาหกรรมเหล่านี้ ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมเทคโนโลยี (2) อุตสาหกรรมพลังงาน และ (3) อุตสาหกรรมอาหาร

อุตสาหกรรมเทคโนโลยี มีสินค้าสำคัญที่จีนต้องการพึ่งพาตนเอง ได้แก่ สารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) และวงจรรวม (Integrated Circuit/IC) โดยเฉพาะวงจรรวมหรือไอซี เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเป็นสินค้าที่จีนนำเข้ามากที่สุด (ปี 2562 จีนนำเข้าสินค้าไอซีเป็นมูลค่ากว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 15 ของการนำเข้าทั้งหมดของจีน)

รัฐบาลจีนมีนโยบายส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาสินค้าไอซี แต่ก็ยังยากในการก้าวทันคู่แข่ง (เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ สหรัฐฯ) ที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบและการผลิตที่ซับซ้อนกว่ารวมถึงที่ใช้สำหรับอุปกรณ์ 5G และ 6G ซึ่งหากจีนจะพัฒนาการผลิตให้ก้าวหน้าโดยเร็ว ก็อาจทำได้โดยการควบรวมกิจการ (M&A)

แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนของจีนโดยเฉพาะในธุรกิจเทคโนโลยีมักถูกเพ่งเล็งโดยประเทศเจ้าบ้านที่จีนเข้าไปลงทุน นอกจากไอซีแล้ว คาดว่าจีนจะใช้ซอฟต์แวร์และบริการสารสนเทศของตนเองมากขึ้น เนื่องจากมีประเด็นความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security)

ส่วนอุตสาหกรรมพลังงาน จีนเป็นผู้นำเข้าพลังงานรายใหญ่ของโลก ในปี 2562 จีนนำเข้าน้ำมันดิบเป็นมูลค่า 2.4 แสนเหรียญสหรัฐ และนำเข้าก๊าซเป็นมูลค่ามากกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ น้ำมันและก๊าซที่จีนบริโภคมาจากการนำเข้าร้อยละ 85 และ 40 ตามลำดับ

โดยส่วนใหญ่นำเข้าน้ำมันจากซาอุดีอาระเบีย และรัสเซีย และนำเข้าก๊าซจากเติร์กเมนิสถาน แต่ก็มีความเสี่ยงที่การขนส่งเกิดหยุดชะงัก รวมถึงการขนส่งผ่านทะเลจีนใต้ที่มีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

ดังนั้น จีนมุ่งผลิตพลังงานเองในประเทศ โดยใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งปัจจุบันพลังงานหมุนเวียนมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของการบริโภคพลังงานของจีน สำหรับในบรรดาพลังงานหมุนเวียน คาดว่าจีนให้ความสำคัญกับพลังงานลมและพลังงานนิวเคลียร์เป็นลำดับแรก และอนาคตคาดว่าจะลงทุนเพิ่มเพื่อผลิตพลังงานลมในทะเล และจะใช้เทคโนโลยีในประเทศด้านพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

สำหรับอุตสาหกรรมอาหารของจีนได้ผลกระทบรุนแรง (Shocks) หลายครั้ง เช่น การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรทำให้ขาดแคลนสุกรสำหรับบริโภค

นอกจากนี้ การที่จีนเข้าสู่สังคมเมืองและสังคมสูงวัย จึงขาดแคลนแรงงานในชนบท ปัจจุบันในส่วนของสินค้าเกษตร จีนพึ่งพาเพียงการนำเข้าถั่วเหลือง โดยมีบราซิล และสหรัฐฯ เป็นแหล่งนำเข้าสำคัญ ทั้งนี้ สถาบันสังคมศาสตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (The Chinese Academy of Social Sciences: CASS) คาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2025 จีนจะขาดแคลนผลผลิตข้าวสาลี ข้าวโพด และข้าว รวม 25 ล้านตัน

ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและความมั่นคงทางสังคม ซึ่งจีนได้พยายามนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาการปฏิรูปที่ดินในชนบททำให้จีนยังจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้า

นางสาวพิมพ์ชนกกล่าวว่า การพัฒนาแบบวงจรคู่ขนานเป็นการใช้วงจรภายในประเทศ (Domestic Circulation) และวงจรระหว่างประเทศ (International Circulation) เสริมกำลังกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนในระยะข้างหน้า เพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศ ซึ่งต้องติดตามใกล้ชิด

เนื่องจากมีนัยยะต่อการค้ากับไทย เช่น สินค้าไอซีเป็นสินค้าที่จีนนำเข้าจากไทยสูง (ปี 2562 จีนนำเข้าไอซีจากไทย เป็นมูลค่า 3,874 ล้านเหรียญสหรัฐ) หากจีนหันมาผลิตเองมากขึ้น ย่อมมีความเสี่ยงต่อการส่งออกของไทยในอนาคต

สำหรับการที่จีนมุ่งสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน พบว่าจีนนำเข้าเครื่องกังหันไอพ่นและส่วนประกอบของเครื่องกังหันไอพ่นมากกว่ากังหันชนิดอื่น ๆ และนำเข้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (ปี 2562 จีนนำเข้ากังหันไอพ่น และส่วนประกอบเครื่องกังหันไอพ่นจากโลก เป็นมูลค่า 3,466 และ 3,634 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ) ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศพัฒนาแล้ว

อย่างไรก็ตาม สนค. มองว่าไทยสามารถพัฒนาศักยภาพการผลิต โดยเฉพาะส่วนประกอบเครื่องกังหันไอพ่น โดยมุ่งเน้นส่งเสริมการลงทุนและวิจัยพัฒนานวัตกรรม ซึ่งสินค้าดังกล่าวนี้เป็นที่ต้องการของทั้งตลาดโลกและตลาดจีน

ในส่วนของสินค้าอาหาร สนค. มองว่าแม้จีนจะพยายามลดการพึ่งพาการนำเข้า แต่น่าจะเน้นลดการนำเข้าในสินค้าอาหารหลัก (Staple Food) เช่น ข้าว

อย่างไรก็ตาม หน่วยงาน CASS คาดการณ์ว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจีนจะขาดแคลนผลผลิตข้าว จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ส่งออกไทย สำหรับอาหารอื่น ๆ ที่ไทยส่งออกไปจีน เช่น ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง กุ้งแช่แข็ง อาหารปรุงแต่ง ก็ยังมีโอกาสทางการตลาดอยู่มาก


ประกอบกับการที่จีนเข้าสู่สังคมเมืองทำให้คนมีรายได้มากขึ้น รวมทั้งการเป็นสังคมสูงวัย ส่งผลต่อไลฟ์สไตล์การบริโภคอาหารที่ต้องการอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน