“สมหะทัย” บิ๊กอมตะวีเอ็น ผุดนิคมดานัง นักลงทุนไทยต้องไป

อมตะ วีเอ็น

ในช่วงวิกฤตโควิด ภาคการลงทุนเป็นเครื่องจักรที่ลำบากที่สุด จากที่นักลงทุนไม่สามารถเดินทางข้ามประเทศไปประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ ผู้ประกอบการในธุรกิจ “นิคมอุตสาหกรรม” จึงต้องปรับแผนเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปให้ได้

“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ “นางสมหะทัย พานิชชีวะ” กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATAV ในฐานะนักลงทุนไทยแนวหน้าที่ออกไปลงทุนในประเทศเวียดนามกว่า 26 ปี เพื่ออัพเดตแผนงานหลังวิกฤตโควิด-19 วางหมากสู่การเติบโต 4 เท่าใน 5 ปีข้างหน้า

26 ปี อมตะ วีเอ็นในเวียดนาม

ตั้งแต่ปี 1995 ที่ไปลงทุนที่นั่น เป็นคำถามที่ถามกันเยอะมาก แน่นอนว่าปัจจัยที่เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนในประเทศเวียดนาม มีแรงงานจำนวนมาก และด้วยขนาดของตลาดในประเทศที่มีประชากรสูงถึง 100 ล้านคน

อย่างเวียดนามเหนือ ตอนแรกไม่มีใครไปทำเลย ส่วนใหญ่จะเริ่มจากภาคใต้ เเต่เรามองว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ ทำเล ที่สามารถเชื่อมโยงกับตลาดอาเซียน จีน และอีกหลายประเทศทั่วโลก เรามองว่าเป็นโอกาสลงทุนก่อนเลย

และสนับสนุนท้องถิ่น มีท่านทูตเคยถามคิดยังไงไปลงทุนจังหวัดกว่างนิงห์ (นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ฮาลอง) เพราะนโยบายที่สำคัญ พื้นที่ตรงนั้นมีการประเมินศักยภาพทั้งนักลงทุนต่างชาติและท้องถิ่น กว่างนิงห์ยังเป็นอีโคโนมิกส์โซนให้สิทธิประโยชน์ระยะยาว 60 ปี นอกเหนือจากด่องไน หรือที่อื่น ๆ ที่ให้ระยะสั้น

“ถามว่าเห็นอะไร ต้องถามเขา มองอะไรเรา ต่อให้เราเป็นนักลงทุนต่างประเทศ ทำประโยชน์ให้ท้องถิ่น เราสามารถขยายต่อได้อย่างมาก ที่สำคัญคือ 3 ข้อ 1.ตัวประเทศ เวียดนาม ด้วยโลเกชั่นติดกับจีน ทำเลดี 2.ระบบ นโยบาย ผู้บริหาร

ไม่ว่าจะเป็นการเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่สร้างได้ ซึ่งข้อแรกสร้างไม่ได้ กลุ่มแรก แน่นอนว่าคือ beyond control (นอกเหนือการควบคุม) แต่ข้อสอง การวางแผนต้องดี อะไรทำก่อน หลัง ชัดเจน 3.คนของเวียดนามใฝ่รู้

และกำลังจะไปสู่ระดับค่าครองชีพที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ตลาด domestic(ในประเทศ) จะโตมากในอนาคต ดิฉันมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อมตะวีเอ็น มองทั้งโอกาส วันนี้และอนาคต”

เตรียมเปิดขาย 2 นิคม

หากให้ฉายภาพการลงทุน เบื้องต้น แนวโน้มของภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2564 เรามั่นใจว่าจะเติบโตขึ้นจากปี 2563 ที่ผ่านมา ภายใต้สมมุติฐานของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังจะมีวัคซีนและเริ่มคลี่คลาย

โดยในปี 2564 เรามีที่ดินพร้อมขายรวม 1,050 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ฮาลอง ซึ่งอยู่ภาคเหนือ800 ไร่ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ลองถั่น ทางภาคใต้ อีกประมาณ 250 ไร่ มองว่ามีโอกาสขายได้ทั้งหมด หากสถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง

ก่อนหน้านี้ บริษัทได้มีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอยู่ทั้งทางตอนเหนือและตอนใต้ของเวียดนาม ทั้งหมด 6 โครงการ 6 บริษัท รวมพื้นที่ประมาณ 2,500 เฮกตาร์ หรือประมาณ 15,625 ไร่

ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้ลงทุนไปแล้วประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท จากกรอบการลงทุนที่วางไว้ 840 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 27,200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยลงทุนต่อเนื่อง

“เราวางเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2564-2567) AMATAV จะเติบโตขึ้น 4 เท่าตัวจากปัจจุบัน การลงทุนใหม่ ๆ ในอนาคตจะเป็นการลงทุนในรูปแบบการร่วมทุนกับพันธมิตรมากขึ้น

เรายังเดินหน้าการศึกษาและเจรจาจอยต์เวนเจอร์มีโอกาสที่จะเติบโตขึ้น และมีพื้นที่เป้าหมายที่รัฐบาลให้มาอีกในอนาคตจะรวมจากส่วนนี้ด้วย ต่อไปเราจะมองโมเดลใหม่คือ ไปเอาโครงการมาแล้วร่วมทุน”

ผนึกพันธมิตรลุยนิคมฯดานัง

“เร็ว ๆ นี้มีแผนที่จะร่วมมือกับพันธมิตร 2 บริษัท จากเอเชียใกล้ ๆ บ้านเรา ก่อตั้งนิคมพื้นที่ภาคกลางที่เมืองดานัง มีพื้นที่ประมาณ 3 พันไร่”

“เราคิดว่าเป็นความท้าทายมาก เพราะดานังเป็นพื้นที่ที่เป็นเมืองท่องเที่ยว อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยา และปิโตรเคมี เราจะทำในรูปแบบใหม่ และผนึกนิคมอุตสาหกรรมต่างชาติ คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้ จะแจ้งให้ทราบกัน ที่ตรงนี้จะมีทุกอุตสาหกรรม”

เพราะฉะนั้น ปีนี้เป้าหมายเหนือ ใต้ เราพร้อมแล้ว เพราะจากปีที่แล้วอาจจะติดโควิด-19 จนวันนี้เรารอไม่ได้แล้ว พร้อมบริการ สามารถดูแลลูกค้าได้ เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย จุดเด่นของเราคือ สินค้าในนิคมรัฐบาลมองว่าล้วนแล้วแต่เป็นสาธารณูปโภค ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน

ดังนั้น รัฐบาลจะให้ความสำคัญลำดับแรกก่อน ส่วนเม็ดเงินการลงทุน คร่าว ๆ ภาคเหนือกับภาคใต้อาจจะแบ่งสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งงบฯลงทุน ส่วนภาคกลาง 10% เราเเบ่งว่าภาคเหนือมียุทธศาสตร์ทำเลที่ดีอยู่แล้ว ส่วนภาคใต้ได้ที่มาแล้วจะลงในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน มีเมืองที่อยู่อาศัย จะร่วมกับท้องถิ่น อนาคตเราจะเล่าให้ฟัง

คุมโควิดดันจีพีดีเวียดนามพุ่ง

จะเห็นชัดเจนว่าเวียดนามเป็นประเทศที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดได้ตั้งแต่ช่วงแรก แนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามปี 2564 ยังคงสดใส องค์กรการเงินระหว่างประเทศ

เช่น World Bank, International Monetary Fund, Asian Development Bank คาดการณ์ไว้ว่า GDP เวียดนามจะเติบโตอยู่ที่ระดับ 6.5-7.0% ตรงนี้ก็ตอบแล้ว

ยังไม่รวมถึงในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2564-2568) รัฐบาลเวียดนามได้วางแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจฉบับใหม่ ปี 2564-2573 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาแห่งชาติเวียดนาม ที่คาดว่าจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศให้มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ทิศทางสู่นิคม “เมืองอัจฉริยะ”

“ความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลเวียดนามทั้งหมด บริษัทก็ได้วางเป้าหมายในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนามสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ ซึ่งแนวคิดเมืองอัจฉริยะจะครอบคลุมทั้งด้านพลังงาน ชุมชน การผลิต

การขนส่งและคมนาคม การศึกษา เทคโนโลยี และการจัดการสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ ให้มีความสอดรับกับแผนพัฒนาประเทศของเวียดนามด้วย”

จริง ๆ แล้วคำว่า เมืองอัจฉริยะ หากเป็นนิคม เราตั้งใจ เราจะทำตามระดับตามศักยภาพพื้นที่ที่เรามี

ยกตัวอย่างการพัฒนานิคม “smart city” ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือประเทศไทย โดยอมตะเราต้องทำให้เหมือนกัน ลูกค้าเราต้องได้รับประโยชน์ทุกมิติ ทั้งการลดพลังงาน สิ่งแวดล้อม

โรงงานลดต้นทุนได้ ทำให้เกิดโครงสร้างพื้นฐาน อินโนเวชั่นและเมื่อพัฒนาแล้วจะสามารถต่อยอดเป็นเมืองที่อยู่อาศัย โรงเรียน โรงพยาบาล ต้องเป็นส่วนที่ซัพพอร์ตกัน เช่น เราร่วมกับเอ็ดดูทาวน์กับมหิดล

ทั้งหมดนี้เรามองว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่เหมาะสมทั้งวัฒนธรรมองค์กรคน เนเจอร์การบริการที่ดี เอื้อเฟื้อ เราต้องทำ ดังนั้นต่อไป smart city จะเป็น direction (ทิศทาง) ที่เราต้องไปแน่นอน

ก้าวต่อไป AMATAV

“ที่บอกว่าภายใน 5 ปี อย่างน้อย ๆต้องโต 4 เท่า ประมาณปีละ 20% นั่นคือเป้าหมาย ถ้าไม่มีอะไร แต่เชื่อไหมว่าในช่วงโควิด-19 เราไม่สามารถเดินทางไปมาหากันได้ สิ่งหนึ่งที่ดิฉันมอง

กลับเป็นโอกาสสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ การทำงานท่ามกลางวิกฤตโควิดที่ out of control ทำให้ดิฉันได้เช็กอุณหภูมิลูกน้อง ดูระบบเราว่ายังไปได้ ปรากฏว่าลูกน้องเดินเองเป็น ดูว่าจะต้องเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เขาสามารถทำงานได้ และสามารถทำธุรกิจออนไลน์ได้ โควิดเทสต์ว่าเราสามารถทำงานได้โดยไม่เป็นอุปสรรคเลย”

ในฐานะนักลงทุนไทยในเวียดนาม อยากบอกว่า นักลงทุนไทยต้องไป ไม่งั้นเราจะถูกลืม สิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆคือ เราเสียงเบามาก ไทยเราเสียงเบามาก ๆ เราอยู่เบอร์ 7 คำถามคือเมื่อไหร่เราจะได้เป็นเบอร์ 1


เพราะวันนี้เราไม่แข็งแรงพอ ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะไปสู้ประเทศใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น ยาก แต่ถ้าหากเรารวมกลุ่ม สภา สมาคม เสียงเราจะดังขึ้นมาก