หอการค้าไทย เปิดตัวดัชนีสำรวจความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างประเทศ (FBCI) ครั้งแรกอยู่ในระดับ 29.8 ต่ำกว่าที่มองไว้ โดยผลส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจเศรษฐกิจ รายได้ กำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้น ขณะที่ การปรับ ครม. ขอคนที่เป็นมีความสามารถ สานต่องานได้และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยได้เปิดตัว ดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างประเทศ (FBCI) โดยจะสำรวจนักลงทุนต่างชาติ หอการค้าต่างประเทศที่ลงทุนในประเทศไทยกว่า 40 ประเทศ ซึ่งจะเปิดผลสำรวจในทุกไตรมาสเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการค้า การลงทุนของนักลงทุน นักธุรกิจที่ทำธุรกิจในประเทศไทย พร้อมทั้ง ข้อเสนอ ข้อสนับสนุนที่ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือ เพื่อให้นักลงทุนยังเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
สำหรับกรณีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หอการค้าไทยต้องการให้รัฐบาลพิจารณาบุคคลที่มีความสามารถและสานต่องานได้ในทันที พร้อมทั้งต้องเป็นที่ยอมรับจากทั้งนักธุรกิจ การเมืองและประชาชน อีกทั้ง ต้องได้รับการสนับสนุนจาก ครม. ด้วย ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานให้ถูกผลักดันได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี การประชุมศูนย์บริหารเศรษฐกิจโควิด-19 หรือ ศบศ. ยังต้องการให้มีการจัดประชุมโดยเร็ว โดยประเด็นที่ต้องการเสนอและให้มีการหารือ คือ การเปิดเมือง การจ้างงาน การกระจายวัคซีน เป็นต้น
นายสแตนลี่ย์ คัง ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย กล่าวว่า ผลสำรวจที่หอการค้าดำเนินการนั้นถือว่าครอบคลุมทุกด้าน และสะท้อนปัญหาได้อย่างครบถ้วน ส่วนการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง หรือการประท้วงนั้น สิ่งที่หอต่างประเทศให้ความสนใจคือการบริหารปัญหา การแก้ไขเป็นอย่างไร เพราะต้องยอมรับว่าทุกประเทศต่างมีปัญหา แต่การแก้ไขนั้นต้องดูว่าจัดการดูแลอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ไม่ต้องการให้เห็น คือ ความรุนแรง ส่วนความเชื่อมั่นหรือเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้น คาดว่าน่าจะครึ่งปีหลังของปีนี้
ส่วนผลการสำรวจ นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจถึงดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างประเทศ (FOREIGN BUSINESS CONFIDENCE INDEX : FBCI) และรายงานผลสำรวจดัชนีนักธุรกิจต่างชาติในไทยไตรมาสที่ 4/ 2563 จากจำนวน 40 ประเทศ ซึ่งมีสมาชิกรวม 8,470 สถานประกอบการ โดยสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 30 ประเทศ จำนวน 119 ราย ตั้งแต่มกราคม -กุมภาพันธ์ 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจต่างประเทศ (FBCI) โดยรวมอยู่ที่ระดับ 29.8 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 27.6 และดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจอยู่ที่ระดับ 32.1
โดยเป็นผลมาจากการสำรวจนักธุรกิจต่างชาติลงทุนในประเทศไทย ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 27.6 ซึ่งส่วนใหญ่นักธุรกิจยังเป็นกังวลต่อเศรษฐกิจไทย กำลังซื้อในประเทศ การลงทุนจากต่างชาติ สถานการณ์การท่องเที่ยว การนำเข้า-ส่งออกทั้งปัจจุบันและอนาคต เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 32.1 ซึ่งสำรวจทั้งเรื่องของราคาสินค้าและบริการ คำสั่งซื้อ ผลกำไร ค่าใช้จ่าย สภาพคล่องของธุรกิจ การจ้างงานและภาระหนี้สินของธุรกิจซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ดีขึ้นมีผลต่อความเชื่อมั่น
ดังนั้น สิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนและช่วยเหลือ คือ มาตรการช่วยเหลือทางด้านการเงินให้กับภาคธุรกิจ และ SMEs ไทยโดยรวม รวมทั้งธุรกิจที่เป็นคู่ค้า มาตการช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 การผ่อนคลายการทำธุรกิจให้คล่องตัวขึ้น การแก้ไขกฎระเบียบที่ซับซ้อนในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ การเปิดประเทศเพื่อดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยว การออกมาตรการเพิ่มกำลังซื้อ การสร้างความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพด้านการเมืองและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล การพัฒนาวัคซีนเพื่อนำมาฉีดให้ประชาชนในประเทศให้เร็วที่สุด เป็นต้น
นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ส่วนการสำรวจทัศนะต่อเศรษฐกิจไทยของนักธุรกิจต่างชาติ พบว่า ส่วนใหญ่ 88.24% เศรษฐกิจไทยแย่ลง 86.55% กำลังซื้อแย่ลง 83.19% การลงทุนจากต่างประเทศแย่ลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนในอีก 6 เดือนข้างหน้าสถานการณ์ดีขึ้นแต่ไม่มาก และสิ่งที่เป็นปัญหาและส่งผลกระทบต้องแก้ไข คือ 26.5% การว่างงานของแรงงานจากสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลต่ออำนาจซื้อ รองลงมา 14.3% การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคธุรกิจเอกชนทำให้เกิดการขาดสภาพคล่อง และ13.4% เสถียรภาพด้านการเมือง ทำให้ไม่แน่ใจทิศทางแนวโน้ม เป็นต้น
ส่วนผลสำรวจด้านธุรกิจจากหอการค้าต่างประเทศในปัจจุบัน พบว่า 78.99% รายได้รวมของธุรกิจ แย่ลง 16.81% ไม่เปลี่ยนแปลง และ 4.20% ดีขึ้น ขณะที่ ราคาสินค้าและบริการของธุรกิจ 50.42% แย่ลง 47.06% ไม่เปลี่ยนแปลง 2.52% ดีขึ้น ส่วนในอีก 6 เดือนข้างหน้านั้น พบว่า 31.09% รายได้รวมของธุรกิจ แย่ลง 35.29% ไม่เปลี่ยนแปลง และ 33.61% ดีขึ้น ขณะที่ ราคาสินค้าและบริการของธุรกิจ 21.82% แย่ลง 60.50% ไม่เปลี่ยนแปลง 17.65% ดีขึ้น ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่มจากกำลังซื้อหดตัว ยอดขายลดมีผลต่อรายได้ ต้นทุนสูงขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ปัญหาโควิด