ครม. ตีกลับ ขยาย 2 ล้านสิทธิ์ “เราเที่ยวด้วยกัน”

Photo by Mladen ANTONOV / AFP

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า โครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟสสามเดิมจะมีการขยายสิทธิ์เพิ่มเติมให้แต่วันนี้ครม.ยังไม่เห็นชอบรายละเอียดของการขยายสิทธิ์โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เนื่องจากขณะนี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อความรัดกุมในการกำหนดแนวทางการป้องกันการทุจริตเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหา ซึ่งจะนำกลับเข้ามาเสนอคณะกรรมการเงินกู้ในลักษณะโครงการเราเที่ยวด้วยกันเดิม หรือ เป็นการออกแบบรูปแบบใหม่ ซึ่งครม.ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาเพื่อดำเนินการในรายละเอียดและนำกลับเข้ามาเสนอต่อครม.อีกครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้ ที่มีการเลื่อนการใช้สิทธิ์ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบใหม่ สามารถใช้ได้ถึง 31 พฤษภาคม 2564 ซึ่งมีประมาณ 50,000 สิทธิ์

แหล่งข่าวจากที่ประชุมครม.เปิดเผยว่า ททท.ได้เสนอขอปรับปรุงรายละเอียดรายละเอียดโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โดยขอขยายจำนวนสิทธิ์เพิ่มอีก 2,000,000 สิทธิ์ และขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการ ฯ จากเดิมสิ้นสุดระยะเวลาการใช้สิทธิ์ในวันที่ 30 เมษายน 2564 และเบิกจ่ายงบประมาณถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เป็นสิ้นสุดระยะเวลาการใช้สิทธิ์ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 และเบิกจ่ายงบประมาณถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 โดยใช้จ่ายจากวงเงินเดิมของโครงการ ฯ (15,000 ล้านบาท)

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เปิดเผยว่า ได้เสนอให้ครม.พิจารณามอบหมายให้ ททท.ปรับปรุงหรือทบทวนโครงการ ดังนี้ 1.ยกเลิกเงินสนับสนุนจากภาครัฐในส่วน e-voucher หรือกำหนดมูลค่าให้มีความเชื่อมโยงกับมูลค่าห้องพัก อาทิ ร้อยละ 40 ของราคาห้องพัก

2.กำหนดแนวทางการป้องกันการทุจริตที่จะช่วยให้เกิดความมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยในกรณีที่จำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบต่าง ๆ อาทิ ระบบสแกนใบหน้า จำเป็นต้องหารือและเตรียมความพร้อมกับธนาคารกรุงไทยให้ชัดเจนทั้งในส่วนของกรอบระยะเวลาและแผนผังแสดงวิธีการใช้สิทธิ์โครงการ เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนที่จะใช้สิทธิ์โครงการ ให้มีความเข้าใจและป้องกันความสับสน

3.ยกเลิกเงื่อนไขที่มอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินตามโครงการและดำเนินการเบิกจ่ายโดยวิธีเบิกจ่ายแทนกัน ตามมติครม.เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีเอกภาพ และช่วยให้ ททท.มีความคล่องตัวในการดำเนินโครงการเพิ่มขึ้น

แหล่งข่าวจากททท. เปิดเผยว่า ผู้ว่าการททท. เสนอแนวทางป้องกันการกระทำอันอาจก่อให้เกิดการทุจริตภายใต้โครงการ จำนวน 2 มาตรการ ดำเนินการได้ทันที ได้แก่ 1.การกำหนดให้โรงแรมจัดส่งข้อมูลราคาห้องพัก (Rate Plan) มาเทียบกับราคาห้องพัก ณ ปี 2562 ที่ได้จาก OTA เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของจำนวนและราคาห้องพักที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการ

และ 2.การกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้ประชาชนผู้ใช้สิทธิ์จะต้องจองที่พักล่วงหน้าก่อนเข้าพักไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์ จากเดิมที่กำหนดไว้ 3 วัน เพื่อให้มีระยะเวลาเพียงพอในการตรวจสอบข้อมูลที่มีความผิดปกติและสามาระงับการจ่ายเงินให้กับธุรกรรมที่เป็นการทุจริตได้


นอกจากนี้ยังดำเนินการตามแนวทางการป้องกันการทุจริตในส่วนอื่น ๆ อาทิ การป้องกันการสวมสิทธิ์ด้วยระบบสแกนใบหน้าและการยืนยันตัวตนของผู้ใช้สิทธิ์ที่สาขาธนาคารกรุงไทย นั้น ททท.จำเป็นต้องหารือกับธนาคารกรุงไทย และคาดว่าต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการระยะหนึ่ง