
ทาทาสตีล รับอานิสงส์บูมลงทุน EEC ดันยอดขายครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้น 5% คาดทั้งปีขายได้ 1.28 ล้านตัน เดินหน้าลงทุนขยายการผลิตเหล็กตัดและดัด เปิดตลาดไวรอทอาเซียนเพิ่ม จับตานโยบาย OBOR ฉุดดีมานด์เหล็กพุ่งสวนทางนโยบายคุมผลิตของจีน
นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2561 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560) มีปริมาณ 323,000 ตันจากไตรมาสก่อนที่ขายได้ 277,000 ตัน มูลค่า 5,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากไตรมาส 1/2560 และมี EBITDA กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน มีมูลค่า 432 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2561 ที่ติดลบ 33 ล้านบาท และกำไรหลังหักภาษี มูลค่า 185 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2560 ที่ติดลบ 46 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายช่วงครึ่งปีแรก มีปริมาณ 600,000 ตัน แม้ว่าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณ 615,000 ตัน แต่ยอดขายสุทธิ ที่มีมูลค่า 10,394 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 9,219 ล้านบาท โดย EBITDA กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน มีมูลค่า 571 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 903 ล้านบาท (ตามตาราง)
- ในหลวง พระราชินี เสด็จฯส่วนพระองค์ ทรงร่วมแข่งเรือใบ จ.ภูเก็ต
- เช็กที่นี่ เงินอุดหนุนบุตร 600 บาท เดือนธันวาคม 2566 เงินเข้าวันไหน
- เปิดค่าตอบแทน “ผู้บริหาร” ยักษ์ บจ. BBL จ่ายพันล้านต่อปี ทิ้งห่างคู่แข่ง
บริษัทคาดการณ์ปริมาณในช่วงครึ่งปีหลังของปีงบประมาณ 2561 จะขยายตัว 5% จากช่วงครึ่งปีแรกที่มีปริมาณ 600,000 ตัน จะทำให้ภาพรวมทั้งปีมีปริมาณ 1.25-1.28 ล้านตัน สูงกว่าคาดการณ์เดิมที่วางไว้ 1.2 ล้านตัน จากเหล็กตัดและดัด และเหล็กลวดคาร์บอนต่ำน่าจะขยายตัวได้ดี ทางบริษัทจึงได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตในส่วนการผลิตเหล็กเส้นตัดและดัดในโรงงาน NTS ที่ จ.ชลบุรี อีก 3,100 ตัน โดยใช้เงินลงทุน 65-70 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในเดือนมิถุนายน 2561 (2018)
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดขายช่วงครึ่งปีหลังดีขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจของไทยจะขยายตัวขึ้น 3.6% จากแนวโน้มสถานการณ์การค้าที่ดีขึ้น การส่งออกเพิ่มขึ้น การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3.2% ซึ่งได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จากนี้การลงทุนในภาครัฐจะฟื้นในเดือนพฤศจิกายน 2560 จากเดือนก่อนที่มีวันหยุดพิเศษ และนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC ส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน ทำให้เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น ภาคก่อสร้างที่น่าจะฟื้นตัวจากไตรมาส 2/2560 ที่ติดลบ 6% ส่วนความต้องการใช้เหล็กในประเทศ ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณ 18 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อน 19.2 ล้านตัน แต่บริษัทสามารถทำยอดชดเชยจากการลดการนำเข้าเหล็กจีนได้
อย่างไรก็ตาม ยังคงติดตามปัจจัยเสี่ยงสถานการณ์การผลิตและราคาเหล็กของจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก โดยภายหลังจากจีนมีนโยบายควบคุมการผลิตเหล็กทำให้มีปิดโรงเหล็กไปคิดเป็นปริมาณการผลิต 34-40 ล้านตัน และมีการส่งออกลดลงจาก 2559 ปริมาณ 110 ล้านตันเหลือเพียง 80 ล้านคันในปีนี้ สวนทางกับแนวโน้มความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเตรียมพร้อมรับนโยบาย One Belt One Road (OBOR) ซึ่งส่งผลต่อเนื่องทำให้ราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นหลายรายการ เช่น กราไฟต์อิเล็กโทรด Ferro Alloys และแร่ magnessite ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตเหล็กด้วยเตาหลอมไฟฟ้า (EAF) สูงขึ้น เฉลี่ย 20-30 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งจะกระทบต่อประเทศอาเซียนเป็นอย่างมากเพราะส่วนใหญ่ 90% ใช้ระบบนี้ โดยปัจจัยนี้มีผลทำให้ราคาส่งออกเหล็กเส้น และบิลเลต มีโอกาสปรับไปอยู่ในระดับ 530-580 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากปัจจุบันที่ 536-564 เหรียญสหรัฐต่อตัน