ยอดขาย “ทาทาสตีล” อู้ฟู่ ส้มหล่นรับบิ๊กโปรเจ็กต์รัฐ

“ทาทาสตีล” รับอานิสงส์ก่อสร้างโปรเจ็กต์โครงสร้างพื้นฐานดันยอดเหล็กเส้น-เหล็กลวด พุ่ง “ราจีฟ” ปรับแผนลุยตลาดในประเทศ 90% ลดสัดส่วนส่งออกเหลือ 10% หลังต้นทุนค่าขนส่งเกือบเท่าตัว จาก 30 เป็น 50 เหรียญสหรัฐต่อตัน คาดยอดขายปี’64 ทะลุ 1.3 ล้านตัน แนวโน้มเหล็กขาขึ้นสูงสุดที่ 23 บาท/กก.

นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้ทาทาสตีลมีนโยบายมุ่งทำตลาดในประเทศเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วน 90%

และลดสัดส่วนการทำตลาดส่งออกลงเหลือ 10% โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดอินเดีย ภายหลังจากต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ค่าขนส่งปรับจากราคา 30 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 50 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่การขายผ่านชายแดนทั้งลาว และกัมพูชา มีการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น

ส่วนตลาดในประเทศยังมีความต้องการใช้ทั้งเหล็กเส้นและเหล็กลวดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากอานิสงส์การดำเนินโครงการภาครัฐโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก ทั้งการสร้างถนนจากกรมทางหลวง

โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ซึ่งอีกไม่นานจะมีการเซ็นสัญญาส่วนงานอื่น ๆ ในโครงการดังกล่าวอีกหลายฉบับ จะได้อานิสงส์โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-ลาวอีกเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีส่วนงานของภาคเอกชนที่ไม่ใช่แค่การก่อสร้าง แต่เป็นในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์

“ทาทามีความสามารถในการผลิตทั้งเหล็กเส้น เหล็กลวดที่เป็นเกรดพิเศษ ทั้งโลว์คาร์บอน มีเดียมคาร์บอน และไฮคาร์บอนอยู่แล้ว ซึ่งเหล็ก 3 ประเภทนี้มีดีมานด์ในประเทศสูงถึง 2 ล้านตัน นำเข้ามาเพียง 6-7 แสนตันเท่านั้น และที่ผ่านมาได้ลดการนำเข้าจากจีน ดังนั้นเหล็กส่วนนี้จะเป็นตัวหลักที่จะเข้ามาทดแทนเหล็กจีน”

อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่จำเป็นที่ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อขยายกำลังการผลิตในเร็ว ๆ นี้ เพราะปัจจุบันความสามารถกำลังการผลิตเต็ม (capacity) เหล็กเส้น 1 ล้าน เทียบกับยอดขายที่ผ่านมา 8 แสนตัน

และ capacity เหล็กลวดอยู่ที่ 6 แสนตัน ยอดขายที่ผ่านมา 4 แสนตัน สะท้อนว่าทาทายังมีกำลังการผลิตเหลืออีกสำหรับเหล็กทั้ง 2 ประเภท แต่ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมเงินลงทุน 250-300 ล้านบาทสำหรับใช้ในปรับปรุงและรักษาประสิทธิภาพการผลิตให้ราบรื่น รวมถึงลดต้นทุนต่าง ๆ

นายราจีฟกล่าวว่า คาดว่าปีงบประมาณ 2564 (เม.ย. 64-มี.ค. 65) ทาทาจะมียอดขายเกิน 1.3 ล้านตัน เทียบเท่ากับปีที่ผ่านมา เพราะจากดีมานด์บวกกับการผลักดันโครงการก่อสร้างจากภาครัฐ

“แนวโน้มราคาเหล็กที่อยู่ในช่วงขาขึ้น 22.50-23.00 บาท/กก. แม้จะมีความท้าทายเรื่องของการหาวัตถุดิบที่เป็นเศษเหล็กที่อาจกังวลว่าจะไม่เพียงพอจึงต้องพยายามหาทางเพิ่มและบริหารจัดการให้ได้”


สำหรับผลประกอบการของทาทาทั้งปี 2563 (เม.ย. 63-มี.ค. 64) มีปริมาณการขายที่ 1.3 ล้านตัน สูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีรายได้ 22,017 ล้านบาท กำไรก่อนภาษี 688 ล้านบาท และ EBIDA อยู่ที่ 1,357 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าจากผลงานที่ดีต่อเนื่องจะเป็นโมเมนตัมให้ไตรมาส 1 ปี 2564 (เม.ย.-มิ.ย. 64) ดีขึ้นเช่นกัน