“ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป” ยันพื้นฐานบริษัทแข็งแกร่ง ยอดขาย Q 3 พุ่ง 35,185 ล้านบาท สวนทางราคาหุ้นดิ่ง

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ทำยอดขายไตรมาส 3 ได้สูงถึง 35,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนท่ามกลางภาวะตลาดที่กดดัน ถึงแม้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน และราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น ในส่วนของผลกำไรนั้น บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่กำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 3 ลดลง 5.6% จากปีที่ผ่านมาเท่ากับ 4,658 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับ 13.2% เมื่อเปรียบเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 ปี 2559 ที่ 14.1% ส่วนอัตราการจ่ายเงินปันผลของปีนี้จะดีกว่าปี 2559 เนื่องจากกำไรสุทธิหลังหักภาษีครึ่งปีแรกใกล้เคียงปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4 มีแนวโน้มกำไรขั้นต้นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่จะเห็นชัดเจนดีขึ้นในไตรมาส 1 ของปี 2561 โดยตั้งเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้น 15% เพราะหลายปัจจัยกลับเข้าสู่สภาวะปกติมากขึ้น โดยราคาวัตถุดิบเริ่มอ่อนตัวลงแล้ว ในส่วนของค่าเงินยูโรมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น

“วันนี้ถ้าเราดูราคาหุ้นของไทยยูเนียนเหมือนบริษัทมีปัญหามาก ทั้งที่บริษัทมีพื้นฐานดีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
กำไรของเรายังมากกว่าปีที่แล้ว ถ้าเปรียบกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเรามีผลประกอบการที่ดีกว่าคนอื่น
กำไรที่แข็งแกร่งในระดับกว่า 5,000 ล้านบาทมาทุกปี อย่างไรก็ตาม ปีนี้ทั้งปีความท้าทายอยู่ที่ราคาปลาทูน่า และปลาแซลมอนปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ตั้งแต่ปลายปี 2559 โดยขึ้นไปสูงสุดถึง 2,300 เหรียญสหรัฐต่อตัน ปัจจุบันราคาทูน่าเริ่มอ่อนตัวลงในไตรมาส 4 ของปีนี้ลงมาที่ระดับ 2,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน

ส่วนแรงกดดันเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินยุโรปที่อ่อนตัวจากเบร็กซิทตั้งแต่ช่วงต้นปี ทำให้ธุรกิจที่ยุโรปได้รับผลกระทบ ดังนั้น จึงพยายามควบคุมต้นทุน มีการตัดค่าใช้จ่าย ควบคุมประสิทธิภาพการทำงาน มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ มีการปรับโครงสร้างการทำงานในยุโรปและอเมริกา มีการยุบรวมออฟฟิศสำนักงาน เป็นต้น เพื่อควบคุมเรื่องค่าใช้จ่ายในด้านการขายและการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 9.1% ในไตรมาสที่ 3 (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างองค์กรซึ่งเป็นการใช้จ่ายแบบครั้งเดียว มีผลทำให้อัตราอยู่ที่ 9.5%)

คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4 มีแนวโน้มกำไรขั้นต้นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่จะเห็นชัดเจนดีขึ้นในไตรมาส 1 ของปี 2561 เพราะตอนนี้ผ่านมา 11 เดือนแล้ว” นายธีรพงศ์กล่าว

นายธีรพงศ์กล่าวยอมรับว่า สำหรับคาดการณ์รายได้ของปีนี้ ในบางธุรกิจอาจจะล่าช้าไปกว่าแผนที่วางไว้ เช่น ธุรกิจ Marine Ingredients โรงงานสกัดน้ำมันทูน่าออยล์ที่เยอรมันก่อสร้างล่าช้าไป 1 ไตรมาส รายได้ในส่วนนี้จะเห็นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 มีนัยสำคัญ เพราะมีมาร์จิ้นที่สูง รวมถึงธุรกิจ Food Service การเติบโตของธุรกิจนี้เป็นไปได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ต้องใช้เวลา

ส่วนการทำตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ในจีนทำได้ดี โดยทำตลาดหลักที่เซี่ยงไฮ้ และหัวเมืองหลักรอบ ๆ โดยเน้นในเรื่องการสร้างแบรนด์คิงส์ออสการ์ เพื่อความยั่งยืน ก่อนกระจายไปยังเมืองอื่นต่อไป ทั้งนี้ ปัจจุบันสามารถทำยอดขายในจีนได้ 75 ล้านหยวน และปี 2561 วางเป้าหมายจะเติบโตเท่าตัว และวางแผนใน 5 ปีจะทำยอดขายให้ได้ถึง 700 ล้านหยวน

อย่างไรก็ตาม ยอดขายจากสินค้าแบรนด์ของไทยยูเนี่ยน ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี ยังคงอัตราส่วนคงเดิมที่ 43% ที่เหลือมาจากธุรกิจการรับจ้างผลิตและธุรกิจบริการทางด้านอาหาร สหรัฐฯยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด โดยมียอดขาย 38% จากยอดรวมทั้งหมดในช่วงเก้าเดือนแรกของปี ตามด้วยตลาดยุโรป 32% ส่วนตลาดในประเทศมียอดขายอยู่ที่ 10% ญี่ปุ่น 6% และตลาดอื่นๆ อีก 14% ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ตลาดที่ไทยยูเนียนอ่อนแอคือ ตลาดเอเซีย จึงมีแผนขยายตลาดส่วนนี้ให้เติบโตมากขึ้น อย่างยั่งยืนโดยการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง แต่ตลาดตะวันออกกลางคงจะชะลอแผนการลงทุน เพราะมีปัญหาทางการเมือง ทำให้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงในพื้นที่ในปัจจุบัน

นายธีรพงศ์กล่าวต่อไปว่า ส่วนธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ในไตรมาส 3 มียอดขายเติบโตสูงสุด 2.9 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็น 4,580 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (ambient) เพิ่มขึ้น 2.4% มาเป็น 15,836 ล้านบาทจากปีที่แล้ว เนื่องจากราคาปลาทูน่าสูงขึ้น ในขณะที่ยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นของบริษัท ลดลง 2.4% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็น 14,770 ล้านบาท แปรรูปในทวีปยุโรปซบเซาและค่าเงินสกุลหลักอ่อนตัว รวมถึงราคาปลาทูน่าที่ยังสูงขึ้น

ในช่วงเก้าเดือนแรกของปีนี้ ผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 6.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเป็น 4,617 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นแค่ 0.8% จากปีที่แล้ว เป็น 101,430 ล้านบาท

ด้านธุรกิจของเรด ล็อบสเตอร์ ในสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่ง สามารถทำกำไรสุทธิได้ 380 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3 โดยกำไรส่วนใหญ่ได้มาจากมาตราการการประหยัดภาษี และอัตราดอกเบี้ย

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิ ยังคงรักษาระดับอยู่ที่ 1.37 เท่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงไตรมาส 3 ถึงแม้จะมีความกดดันจากราคาวัตถุดิบและเงินทุนในการดำเนินงานที่สูงขึ้น

สำหรับเป้าหมายของไทยยูเนี่ยนที่วางไว้ว่า จะทำรายได้ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2020 นั้น นายธีรพงศ์ กล่าวว่า วันนี้คงไม่ทบทวนตัวเลข เพราะยังมีความเป็นไปได้มี แต่ความสำคัญในวันนี้คือการทำกำไรให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติให้ได้ จะไม่เน้นรายได้ที่เติบโตเป็นหลัก แต่จะเน้นรายได้ที่สร้างผลตอบแทนที่ดี

ยกตัวอย่างการลงทุนในเรด ล็อบสเตอร์ ซีฟู้ด ผู้ดำเนินกิจการภัตตาคารอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าตัดสินใจควบรวมรายได้ของเรด ล็อบสเตอร์ 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเข้ามา แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของเป้ารายได้ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2020 แต่ขณะนี้ไทยยูเนียนไม่ได้ต้องการทำเพียงเพื่อให้รายได้ถึงเป้าเท่านั้น แต่ต้องการเห็นการทำกำไรที่ดีให้กับบริษัทมากกว่า รวมถึงเรื่องการแปลงสภาพหุ้นกู้ 24% ของเรดล็อบสเตอร์ จะพิจารณาอีกครั้งในปี 2019

“ปีนี้จะไม่เน้นเรื่องการซื้อกิจการ (M&A) เพราะในแง่รายได้ยังมีความสามารถที่จะสร้างการเติบโตได้เพียงพอ แต่จะให้ความสำคัญในแง่อัตราการทำกำไรมากกว่า เพราะที่ผ่านมาต่ำกว่ามาตรฐานค่อนข้างมาก ก่อนหน้านี้อัตรากำไรขั้นต้นของไทยยูเนียนเคยอยู่ระดับ 15-17% ดังนั้น ปัจจุบันระดับอัตรากำไรขั้นต้น 14% คือ ถือเป็นขั้นต่ำ และไม่ควรต่ำกว่านี้ เราจึงมาเน้นการปรับปรุงโอเปเรชั่นให้มาก” นายธีรพงศ์กล่าว