ประยุทธ์ สั่งดีไซน์สิทธิพิเศษ ลงทุนระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค เชื่อมอีอีซี

พล.อ.ประยุทธ์ ไฟเขียว 4 ระเบียงเขตเศรษฐกิจเชื่อมอีอีซี-ประเทศเพื่อนบ้าน สั่ง อนุกรรมสิทธิประโยชน์ ออกแพ็กเกจดึงดูดนักลงทุน

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ครั้งที่ 1/2564 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นประธาน มีมติเห็นชอบข้อเสนอการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 10 พื้นที่ในระยะต่อไป โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ รวมทั้งมอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐาน คณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ กำหนดพื้นที่ และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ คณะอนุกรรมการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอโครงการและมาตรการเพิ่มเติมไปพิจารณาจัดทำแผนการดำเนินงาน ระยะเวลาที่ต้องดำเนินการและตัวชี้วัดความสำเร็จในการดำเนินงานให้มีความชัดเจน เพื่อเตรียมความพร้อมของพื้นที่โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงตลาดทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ ให้เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อให้ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนในพื้นที่

นอกจากนี้ยังเห็นชอบในหลักการกำหนดพื้นที่และแนวทางในการให้สิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษใน 4 ภาค โดยในแต่ละพื้นที่มีบทบาท ดังนี้ 1.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC – Creative LANNA) ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง เพื่อเป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ เป็นแหล่งผลิตสินค้าและบริการที่ต่อยอดจากฐานวัฒนธรรมล้านนา ผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่

2.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor: NeEC – Bioeconomy) ได้แก่ ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี และหนองคาย เพื่อพัฒนาเป็นฐานอุตสาหกรรมชีวภาพแห่งใหม่ที่เชื่อมโยงการเกษตรและอุตสาหกรรมชีวภาพด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ตลอดห่วงโซ่การผลิต

3.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง – ตะวันตก (Central – Western Economic Corridor: CWEC) ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี เพื่อพัฒนาให้เป็นฐานเศรษฐกิจชั้นนำของภาคกลาง-ตะวันตกในด้านอุตสาหกรรมเกษตร การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมไฮเทคที่ได้มาตรฐานระดับสากล เชื่อมโยงกับกรุงเทพและพื้นที่โดยรอบ และ EEC

4.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) ได้แก่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์กลางของภาคใต้ในการเชื่อมโยงการค้าและโลจิสติกส์กับพื้นที่เศรษฐกิจหลักของประเทศและประเทศในภูมิภาคฝั่งทะเลอันดามัน และเป็นฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพและการแปรรูปการเกษตรมูลค่าสูง รวมทั้งเพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการท่องเที่ยวสู่นานาชาติ

กพศ. ได้มอบหมายให้จังหวัดที่อยู่ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 4 แห่ง ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสมให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ และสิทธิประโยชน์ที่จะให้แก่ผู้ประกอบการในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษแต่ละแห่ง รวมทั้งแนวทางการดำเนินงานและการบริหารจัดการให้เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ กำหนดพื้นที่ และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ พิจารณากำหนดขอบเขตพื้นที่ของแต่ละระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ กิจการเป้าหมาย และสิทธิประโยชน์ และนำเสนอ กพศ. เพื่อพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเชิงพื้นที่ทั้งการพัฒนาภาคและกลุ่มจังหวัด/จังหวัด รวมทั้งการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และในปัจจุบันได้มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. 2564 ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือ กพศ. เป็นกลไกหลักในการบริหารจัดการ กำกับติดตาม และสนับสนุนการดำเนินงานเขตเศรษฐกิจพิเศษของประเทศให้เป็นไปอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ โดยในการดำเนินงานตามระเบียบดังกล่าวจะครอบคลุมทั้งในส่วนของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนทั้ง 10 แห่ง ที่อยู่ระหว่างดำเนินการในปัจจุบัน และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษใน 4 ภาคของประเทศ

โดยในส่วนของการขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 10 แห่ง ที่ผ่านมาภาครัฐได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรซึ่งมีความก้าวหน้ากว่าร้อยละ 70 มีการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวโดยมีศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านแรงงานให้บริการในการเข้ามาทำงานแบบไป-กลับแก่แรงงานกัมพูชาและเมียนมาโดยใช้บัตรผ่านแดนและต้องมีการทำประกันสุขภาพให้มีระยะเวลาครอบคลุมระยะเวลาที่ทำงานในประเทศไทย รวมทั้งมีการจัดหาที่ดินราชพัสดุเพื่อใช้เป็นพื้นที่พัฒนานำร่องการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษโดยมีการเช่าพื้นที่พัฒนาแล้ว 5 พื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว สงขลา ตราด นครพนม และกาญจนบุรี ปัจจุบันมีการลงทุนของภาคเอกชนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 10 แห่งแล้วประมาณ 25,400 ล้านบาท

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีย้ำถึงความสำคัญในการเร่งรัดพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงกับประชาชนและภาคเอกชนในพื้นที่ ทั้งการเพิ่มรายได้ สร้างงานและอาชีพ เพื่อลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งให้เตรียมแผนบริหารแรงงานอย่างเป็นระบบทั้งแรงงานในประเทศและต่างประเทศ ให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ เทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัยต่าง ๆ ลดปัญหาคนว่างงานในอนาคต โดยมอบหมายผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีเขตเศรษฐกิจพิเศษพิจารณาจัดตั้งกลไกการบริหารจัดการ ในระดับพื้นที่เพื่อประสานการขับเคลื่อนการพัฒนาให้เป็นไปตามนโยบายของ กพศ. และสอดคล้องกับความต้องการของทุกภาคส่วนในพื้นที่ด้วย

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ำห้วงเวลานี้เป็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้นเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจต้องชัดเจน ลุกให้เร็ว ก้าวให้ไว เพื่อรองรับหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะคณะกรรมการ กพศ. จะต้องเป็นหลักในการที่จะทำให้รัฐบาลสามารถที่จะตัดสินใจในการอนุมัติแผนงาน/โครงการและการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดสอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ รวมถึงภารกิจ พันธกิจ และการบูรการณ์ Agenda เหล่านี้ ทุกกระทรวงต้องช่วยกัน

“ส่วนการขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษของทั้ง 4 ภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง – ตะวันตก และภาคใต้) ต้องแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแต่ละพื้นที่อย่างเต็มที่ก่อนขยายเชื่อมโยงไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพและความพร้อม รวมทั้ง BOI ต้องมีการปรับกฎ ระเบียบให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนมาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการดึงคนที่มีศักยภาพ Talent คนสูงอายุที่มีกำลังทรัพย์ และโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงการพิจารณาในเรื่องของ Free Zone เช่นเดียวกับหลายประเทศได้ดำเนินการอยู่ เป็นต้น การดำเนินการดังกล่าวนี้ คือ อนาคตของประเทศและเศรษฐกิจไทย”