ส.อ.ท. เปิดผลสำรวจ “มาตรการเยียวยาแบบไหนถูกใจ SME”

ค่าไฟ

ส.อ.ท. เผยผลสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 6 หัวข้อ “มาตรการเยียวยาแบบไหนถูกใจ SME” โดยกว่า 60% รัฐต้องออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือ ลดค่าน้ำ ค่าไฟ 30% และลดค่าเช่าพื้นที่ 50%

วันที่ 2 มิถุนายน 2564 นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 6 ในเดือนพฤษภาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “มาตรการเยียวยาแบบไหนถูกใจ SME” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ มากกว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2563 อันเนื่องมาจากความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ของแรงงานในสถานประกอบการ และการขาดสภาพคล่องทางการเงิน

โดยผู้บริหาร ส.อ.ท. ต้องการให้ภาครัฐออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือ SME ในการลดภาระค่าใช้จ่ายในการประกอบการ เช่น การลดค่าน้ำ ค่าไฟ 30% และการลดค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการ ค่าส่วนกลางของห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และพื้นที่เช่าโรงงาน 50% เป็นต้น

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 170 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบต่อ SME มากกว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2563 คิดเป็น 89.4% รองลงมามองว่าได้รับผลกระทบเทียบเท่ากับปี 2563 และน้อยกว่าปี 2563 คิดเป็น 5.3% และ 4.1% ตามลำดับ

ในส่วนของมุมมองเรื่องผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ SME จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. มีความเป็นห่วงในเรื่องความเสี่ยงจากการติดเชื้อของแรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็น 91.2% รองลงมาเป็นเรื่องการขาดสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินธุรกิจจากการหยุดกิจการ คิดเป็น 74.1% และเรื่องความต้องการสินค้าและบริการที่ลดลง รวมถึงการชะลอการรับสินค้า คิดเป็น 67.1%

สำหรับมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ SME ของภาครัฐในปัจจุบัน ที่ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบของ SME ได้ 3 อันดับแรก ได้แก่ มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ เช่น คนละครึ่งเฟส 3, เราชนะ, ม.33, ขยายวงเงินช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ เป็นต้น คิดเป็น 71.2% รองลงมาเป็นมาตรการลดเงินสมทบประกันสังคม เหลือฝั่งละ 2.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 3 เดือน คิดเป็น 64.7% และมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 คิดเป็น 61.8%

อย่างไรก็ตามผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่าภาครัฐยังมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือ SME เพิ่มเติม เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ มาตรการลดค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าสาธารณูปโภค 30 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็น 59.4% รองลงมาเป็นการลดค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการและค่าส่วนกลางของห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า พื้นที่เช่าโรงงาน 50%

โดยผู้ให้เช่าสามารถนำส่วนลดไปลดหย่อนภาษีในรอบบัญชีถัดไปได้ คิดเป็น 55.3% ถัดไปเป็นการขยายระยะเวลาจัดเก็บภาษี VAT และเร่งคืนเงินภาษี VAT ให้กับผู้ประกอบการ SME ที่ส่งออก ภายใน 15 วัน และการอนุญาตให้นิติบุคคลที่เป็น SME เข้าร่วมโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐได้ มีคะแนนเท่ากันที่ 53.5%

ทั้งนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงกรณีที่ภาครัฐเตรียมจะออก พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโควิด-19 ว่าควรนำเงินดังกล่าวไปใช้ในเรื่องใด พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ คิดเป็น 74.1% รองลงมาเป็นการช่วยเหลือ เยียวยาให้แก่ประชาชน และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ คิดเป็น 70.6% และแก้ไขปัญหาการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 คิดเป็น 65.9%

ขณะที่ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังได้ประเมินว่า จากแผนการใช้เงินกู้ 5 แสนล้านบาท จะสามารถช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในช่วงใด โดยส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงกลางปี 2565 คิดเป็น 37.1% รองลงมาเป็นช่วงปลายปี 2565 คิดเป็น 23.5% อีกทั้งมองว่าจำนวนเงินดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ คิดเป็น 21.8% และคาดว่าเศรษฐกิจจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายปี 2564 คิดเป็น 17.6%

นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า หลังจากวิกฤตโควิด-19 สิ้นสุด SME ไทยควรให้ความสำคัญกับการปรับตัวเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจในอนาคตเรื่องใดบ้าง พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลมาช่วยในการดำเนินธุรกิจ คิดเป็น 75.9% รองลงมาเป็นการพัฒนาทักษะแรงงาน และเพิ่ม Multi Skill ให้กับแรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็น 64.1% และการบริหารจัดการด้านการเงินเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต คิดเป็น 58.8%