“จุรินทร์” ขอให้เวียดนาม เร่งแก้ไขภาษีน้ำตาล-ส่งออกสุกร

น้ำตาล

“จุรินทร์” เผยหลังทูตเวียดนามเข้าพบ เพื่อหารือแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า อำนวยความสะดวกสินค้าผ่านด่านไปจีน ผ่อนคลายกฎระเบียบขึ้นทะเบียนยา ขึ้นภาษีน้ำตาล และเปิดทางส่งออกสุกร พร้อมนัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า ส.ค. นี้ ตั้งเป้าเพิ่มการค้า 2 ฝ่ายเป็น 7.5 แสนล้านบาท

วันที่ 7 มิถุนายน 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนาย ฟาน จี๊ ทัญ เอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ ที่กระทรวงพาณิชย์ ว่าไทยได้ใช้โอกาสนี้ ขอให้เวียดนามช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน โดยขอให้ช่วยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด่านเพื่ออำนวยความสะดวกสินค้าไทยผ่านเวียดนามไปจีน เพราะประสบปัญหาการจราจรติดขัด โดยเฉพาะด่านเวียดนามที่จะผ่านไปด่านโหย่วอี้กวนของจีน

สำหรับไทยและเวียดนามได้ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันจากปัจจุบัน 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 500,000 ล้านบาท เป็น 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 750,000 ล้านบาท โดยมอบหมายเจ้าหน้าที่อาวุโสทั้ง 2 ประเทศ หารือกันว่าจะต้องใช้เวลากี่ปี และนำมาหารือร่วมกันในการประชุม JTC ในเดือน ส.ค. 2564 ต่อไป

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

ส่วนการค้าไทย-เวียดนามในปี 2563 ที่ผ่านมา มีมูลค่า ได้ 517,524 ล้านบาท โดยไทยส่งออกไปเวียดนาม 346,063 ล้านบาท ซึ่งเวียดนามถือเป็นคู่ค้าอันดับ 6 ของไทยในโลก และเป็นลำดับ 3 ในอาเซียน และในช่วง 4 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-เม.ย.) การค้าไทย-เวียดนาม เพิ่มขึ้นถึง 20% สินค้าที่ไทยส่งออกไปเวียดนาม ส่วนมากเป็นรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และสินค้าที่เวียดนามส่งมาไทย เช่น โทรศัพท์มือถือ น้ำมันดิบ เป็นต้น

ทั้งนี้ ไทยยังได้ขอให้เวียดนามผ่อนคลายกฎระเบียบหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนยา ที่มีความซับซ้อน ให้เป็นมาตรฐานอาเซียนหรือองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อช่วยการส่งออกยาไปเวียดนาม เพราะเอกชนผู้ผลิตยาไทยได้ให้ข้อมูลมาที่กระทรวงพาณิชย์ และขอให้ช่วยเหลือ ส่วนเรื่องน้ำตาล ขอให้พิจารณาผ่อนคลายมาตรการให้เป็นไปตามกรอบองค์การการค้าโลก (WTO) หลังมีการขึ้นภาษี

โดยใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน ทำให้ภาษีเพิ่มขึ้น และกรณีสุกร ขอให้ช่วยประสานทางการเวียดนามให้ผ่อนคลายมาตรการ เพื่อให้สุกรคุณภาพจากไทยส่งออกไปเวียดนามได้สะดวก โดยยืนยันว่าไทยเข้มงวดเรื่องสุขอนามัยและการส่งออกมาก และมีการตรวจสอบทุกลอต

นอกจากนี้ ขอให้ช่วยประชาสัมพันธ์งานจับคู่ธุรกิจออนไลน์ระหว่างไทย-เวียดนาม ที่ไทยกำหนดจัดขึ้นในช่วงวันที่ 4-5 ส.ค.2564 เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันด้วย

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นที่ทูตเวียดนามนำมาหารือ คือ ปีนี้ ประเทศไทยต้องเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมการค้า (JTC) ไทย-เวียดนาม แต่ติดสถานการณ์โควิด-19 จึงได้ข้อสรุปร่วมกันว่าควรจะจัดในเดือนส.ค.2564 และท่านทูตยังได้สนับสนุนความเห็นของตนที่ให้ความเห็นในการประชุมเอเปก ในประเด็นที่ไทยสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ สามารถใช้สิทธิในการผลิตวัคซีน โดยเหตุผลสุขอนามัยของประชาชน หรือที่เรียกว่า CL วัคซีน หรือการใช้มาตรการทริปส์ ที่ให้ถือว่าวัคซีนปลอดการบังคับใช้สิทธิบัตรชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆ สามารถผลิตวัคซีนได้ จะได้กระจายวัคซีนไปทั่วโลก ทั้งประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา

อย่างไรก็ดี เบื้องต้นจากการหารือทางท่านทูตเวียดนาม ได้ให้การสนับสนุนความเห็นของตนเรื่องนี้ และขณะนี้ ประเทศไทย มีโรงงานผลิตวัคซีนเอง คือ สยามไบโอไซเอนซ์ ถ้ามาตรการทั้งสองอันนี้บังคับใช้ได้ ไทยมีโอกาสในการช่วยผลิตวัคซีนและส่งออกไปยังกลุ่มประเทศที่ต้องการ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนของเราและเวียดนามได้ด้วย