“ญนน์” โชว์ 3 ภารกิจผลงานกลุ่มการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทย

นักท่องเที่ยว.
Photo : Freepik

“ญนน์” ประธานกลุ่มการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทย ผสานพลังเชื่อมโยงทุกภาคส่วนสร้างโมเดลต้นแบบ ตอกย้ำความสำเร็จผ่าน 3 ภารกิจหลักเร่งพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย
 
วันที่ 9 มิถุนายน 2564 นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานกลุ่มการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทย กล่าวถึงผลลัพธ์ของ 3 ภารกิจหลัก ที่เป็นผลการดำเนินการภายใต้นโยบาย Connect the Dots ฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใน 99 วันแรก ของนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทย ได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564

“ความสำเร็จในครั้งนี้ ถือเป็นบทพิสูจน์ของพลังในการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน ที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และจริงใจที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ได้จริง” นายญนน์กล่าว

โดยกลุ่มการค้าปลีกและบริการมีจุดมุ่งหมายหลัก 3 ประการ คือ

1.ช่วยยกระดับมาตรฐานของสาธารณสุขไทย สร้างระบบการกระจายและฉีดวัคซีนให้รวดเร็ว และทั่วถึง

2.ผลักดันให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุน (Soft Loan) ได้ทั่วถึงและรวดเร็ว เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องอย่างเร่งด่วน และเพื่อให้ SMEs ได้เงินทุนไปปรับปรุงและขยายธุรกิจ

3.กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศผ่านโครงการ “ฮักไทย” รวมใจ ไทยไม่ทิ้งกัน รวมทั้ง Hug Thais สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อรองรับการเปิดเมืองและเปิดประเทศ

ญนน์ โภคทรัพย์

นายญนน์กล่าวว่า ภารกิจทั้ง 3 นี้ จะไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ด้วยหน่วยงานหรือบริษัทใด บริษัทหนึ่งเท่านั้น กลุ่มการค้าปลีกและบริการจึงเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการจัดทำแซนด์บอกซ์ เพื่อเป็นต้นแบบและมีการปรับปรุงจนสมบูรณ์ในทุกภารกิจ เพื่อนำไปขยายผลต่อไปให้กับหน่วยงานอื่น ๆ สำหรับภารกิจแรก การสร้างระบบการกระจายและฉีดวัคซีนให้รวดเร็วที่มีประสิทธิภาพ (Total Solutions)

อีกทั้งยังยกระดับมาตรฐานความสะอาดและสุขอนามัย และปฏิบัติตามกฎของรัฐอย่างเคร่งครัด เป็นการสนับสนุนภาครัฐเพื่อช่วยแก้ปัญหาสาธารณสุข กลุ่มการค้าปลีกและบริการยังเป็นผู้นำในเรื่องของการแก้ไขปัญหาของ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน Soft Loan

นอกจากนี้ ยังนำเสนอโครงการ “ฮักไทย” ที่เป็นการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการของคนไทย ในการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทย ความสำเร็จทั้งหมดนี้เกิดจากการลงมือทำอย่างทันที และเป็นการรวมพลังของทุกหน่วยงาน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นและเสร็จสิ้นเร็วกว่าที่กำหนดไว้

ทั้งนี้ ความสำเร็จทั้ง 3 ภารกิจของกลุ่มการค้าปลีกและบริการ มีดังนี้

1.ช่วยยกระดับมาตรฐานของสาธารณสุขไทย สร้างระบบการกระจายและฉีดวัคซีนให้รวดเร็ว และทั่วถึง โดยกลุ่มการค้าปลีกและบริการเป็นผู้ริเริ่มในการสร้างระบบการจัดการและกระจายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร (Total Solutions) ประกอบด้วย ระบบการปฏิบัติการ และการสื่อสาร รวมถึงจัดหาพื้นที่ รวมทั่วประเทศ 382 แห่ง และในวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ได้เข้าไปเรียนหารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ข้อมูลในการจัดเตรียมสถานที่ของภาคเอกชนและเพื่อพิจารณาสนับสนุนข้อเสนอของภาคเอกชนในการทำงานร่วมกับภาครัฐ

โดยแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 82 แห่งและต่างจังหวัด 300 แห่ง ซึ่งรองรับการฉีดวัคซีนสูงสุด 500,000 คนต่อวัน โดยได้จัดทำแซนด์บอกซ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว และเอสซีจี ซึ่งถือเป็นต้นแบบพื้นที่ฉีดวัคซีนที่จะขยายผลต่อไปยังจุดฉีดวัคซีนอื่น ๆ ทั้งของภาคเอกชนอีกหลายแห่ง และจุดฉีดวัคซีนของกระทรวงแรงงานในระบบประกันสังคมอีก 67 แห่งทั่วประเทศ

2.ผลักดันให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุน (Soft Loan) ได้จริง ทั่วถึงและรวดเร็ว เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องอย่างเร่งด่วน และเพื่อให้ SMEs ได้เงินทุนไปปรับปรุงและขยายธุรกิจ กลุ่มค้าปลีกและบริการเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก เพราะมี SMEs ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อยู่ในระบบถึง 2.4 ล้านราย และสร้างการจ้างงานมากกว่า 12 ล้านคน คิดเป็น 34% ของ GDP การบริโภคทั้งประเทศ

ดังนั้นการให้ความช่วยเหลือกับ SMEs กลุ่มนี้จึงเป็นเรื่องเร่งด่วน เราจึงเป็นศูนย์กลางในการเชื่อม SMEs ในระบบค้าปลีกกับธนาคาร ด้วยการผนึกกำลังสร้าง Digital Factoring Platform โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้กับธนาคารพาณิชย์ทั้งของภาครัฐ และเอกชน ผ่านสมาคมธนาคารไทยในการพิจารณาสินเชื่อให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว เป็นการแก้ไขปัญหาในการที่ SMEs โดยเฉพาะรายเล็กไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้

โดยมีเป้าหมายที่จะปล่อยสินเชื่อ Soft Loan ให้แก่ SMEs ทั่วประเทศกว่า 500,000 ราย ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งต้นแบบแซนด์บอกซ์นี้ เป็นการตอบรับนโยบาย “โครงการพี่ช่วยน้อง” ของนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และทางหอการค้าไทยได้เข้าพบและเรียนปรึกษารายละเอียดของโครงการนี้ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 และได้ขยายแซนด์บอกซ์ต้นแบบไปยังสมาชิกของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และเครือข่ายหอการค้าไทย

3.กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศผ่านโครงการ “ฮักไทย” รวมใจ ไทยไม่ทิ้งกัน รวมทั้ง Hug Thais สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อรองรับการเปิดเมืองและเปิดประเทศ โดยมุ่งให้เกิดการพลิกฟื้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและใช้จ่ายซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของไทย โครงการ “ฮักไทย” จะช่วยฟื้นฟูการบริโภคภายในประเทศ (Local Consumption) ผ่านการกิน-เที่ยว-ใช้ แบบไทยๆ อุดหนุนสินค้าไทย โดยผู้ประกอบการคนไทย

นายญนน์กล่าวเพิ่มเติมถึงที่มาของโครงการ “ฮักไทย” เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดที่จะส่งต่อความห่วงใย และกำลังใจให้กับคนไทยทุกคน ภายใต้ความหมายของคำว่า “ฮัก” ในภาษาไทยที่มีความหมายว่า “รัก” และพ้องเสียงกับคำภาษาอังกฤษที่มีความหมายว่า “กอด” (Hug) ซึ่งเป็นการส่งต่อกำลังใจและโอบกอดคนไทยด้วยความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่คนไทยทุกคนต้องการกำลังใจเพื่อผ่านพ้นความท้าทายนี้ไปได้ด้วยกัน

และในวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ได้รับเกียรติจาก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ​ท่องเที่ยวและกีฬา มาเป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือเปิดตัวโครงการ “ฮักไทย” ระหว่าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย โดย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทย เพื่อเป็นการผลักดันโครงการ “ฮักไทย” ให้เข้าถึงทุกจังหวัด พร้อมสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยทั่วประเทศ ทั้งนี้ ได้สร้างต้นแบบแซนด์บอกซ์ครอบคลุมทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ และออมนิแชแนล (Omnichannel) กับกลุ่มเซ็นทรัล และกำลังขยายผลไปยังกลุ่มบริษัทค้าปลีกอื่นๆ ทั่วประเทศ

ตามแผนงานเตรียมเปิดเมืองภูเก็ตในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ จะมีการเปิดตัวโครงการ “ฮักไทย ฮักภูเก็ต” (Hug Thais Hug Phuket) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งคาดว่ารายได้ที่จะมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มแรก จะมีกว่า 12,000 ล้านบาทภายใน 3 เดือน

โดยทางหอการค้าไทยได้รับการสนับสนุนโครงการเป็นอย่างดีจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต ซึ่งจะมีการขยายผล “ฮักไทย ฮักภูเก็ต” ไปยังจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ อีกต่อไปเพื่อเป็นการเปิดเมืองเปิดประเทศและเป็นการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ โดยที่จะมีการทำงานประสานร่วมกับสมาคมต่างๆ อาทิ อาทิ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทย สมาคมภัตตาคารไทย และสมาคมสายการบินแห่งประเทศไทย เป็นต้น

​“ภารกิจสำคัญทั้ง 3 เรื่องนี้ป็นบทพิสูจน์ของความร่วมมือร่วมใจในการขับเคลื่อนและร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานของสาธารณสุขไทย พร้อมสร้างระบบการกระจายและฉีดวัคซีนให้รวดเร็ว และทั่วถึง รวมทั้งการฟื้นฟู SMEs ไทยให้มีแต้มต่อและเสริมสภาพคล่องโดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อ SMEs ไทยต้องรอด พร้อมเร่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ (Local Consumption) ทั้งของชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ผ่านโครงการ “ฮักไทย” เพื่อเป็นการส่งเสริมและยกระดับสินค้าแบรนด์ของคนไทย

รวมถึงโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยมากกว่า 2.7 แสนล้านบาท ภายใน 6 เดือน คิดเป็น 1.6% ของ GDP ทั้งประเทศ และจะสามารถพยุงการจ้างงานกลับคืนมากว่า 2 ล้านคน เราทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศไทยกลับมาเดินหน้าอย่างเต็มกำลังได้อีกครั้ง พาคนไทยทุกคนก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปให้ได้ และพร้อมที่ก้าวต่อไปเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน” นายญนน์กล่าว