ก.อุตสาหกรรม ลุยตรวจ 40 โรงงาน จี้เร่งประเมินตนเองผ่าน Thai Stop COVID Plus

โรงงานอุตสาหกรรม

“สุริยะ” สั่งการอีกครั้ง ! เร่งประสานโรงงานทำแบบประเมินตนเองผ่าน platform online ตามมาตรการ Good Factory Practice (GFP) เพื่อป้องกันการติดเชื้อในโรงงาน และลดความรุนแรงของการระบาด ด้านกรมโรงงานอุตสาหกรรม กำชับโรงงานในกำกับเร่งประเมินตนเองผ่าน Thai Stop COVID Plus และ Thai Save Thai เล็งกลุ่มแรกโรงงานที่มีคนงานตั้งแต่ 200 คนขึ้นไป พร้อมเผยแผนรับมือโควิด-19 สำหรับสถานประกอบกิจการ (Business Continuity Plan : BCP)

วันที่ 21 มิถุนายน 2564 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า วิกฤตการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของภาคเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรม ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งการรับมือกับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงดูแลขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ในสถานประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม

จึงได้กำชับไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ให้เร่งประชาสัมพันธ์ พร้อมขอความร่วมมือโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศประเมินตนเองผ่านแบบประเมินตนเอง Thai Stop COVID plus และ Thai Save Thai ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2564

“ผมได้สั่งการให้ กรอ.เร่งสำรวจตัวเลขพร้อมทั้งกำชับให้โรงงานอุตสาหกรรมร่วมทำแบบประเมินตนเอง Thai Stop COVID Plus (Good Factory Practice, GFP) และ Thai Save Thai ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาขึ้น โดยแพลตฟอร์มแนะนำด้านสาธารณสุขในการป้องกันการแพร่ระบาด แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการ ผู้ปฏิบัติงาน และแนวทางการปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อ ซึ่งผู้ประกอบการต้องประเมินตนเองอย่างน้อยทุก 2 สัปดาห์ ขณะที่พนักงานก็ต้องประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์ม Thai Save Thai ก่อนเข้าโรงงาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงไม่ให้มีการแพร่เชื้อในสถานประกอบการ”

นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า กรอ.ได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร ในการคัดเลือกโรงงานเป้าหมายในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีจำนวนคนงานมากกว่า 200 คน ซึ่งมีจำนวน 278 โรงงาน จำแนกเป็นโรงงานที่มีคนงาน 200-500 คน จำนวน 206 โรง โรงงานที่มีคนงาน 500-1,000 คน จำนวน 40 โรง และโรงงานที่มีคนงานมากกว่า 1,000 คน จำนวน 32 โรง เป็นโรงงานที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับอาหารหรือแปรรูปอาหาร โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า และโรงงานอื่น ๆ

“หลังวันที่ 15 มิถุนายน กลุ่มเป้าหมายแรกที่ กรอ. ร่วมกับ กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะดำเนินการลงพื้นที่ตรวจสอบ จำนวน 40 โรงงาน โดยคัดเลือกจากโรงงานที่มีความเสี่ยงสูง และโรงงานที่มีความแออัดในพื้นที่ปฏิบัติงานก่อน โดยเป็นโรงงานที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับอาหาร หรือการแปรรูปอาหารทุกขนาด จำนวน 12 โรง และโรงงานที่มีความแออัดเนื่องจากมีจำนวนคนงานมากกว่า 1,000 คน จำนวน 28 โรง”

และนอกจากการทำแบบประเมินดังกล่าวแล้ว ทาง กรอ.ยังได้จัดทำคู่มือแนวปฏิบัติแผนรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับสถานประกอบกิจการ (Business Continuity Plan : BCP) เพื่อให้แต่ละโรงงานเตรียมรับมือและเตรียมความพร้อมในการประคองกิจการให้สามารถประกอบกิจการต่อไปได้แม้ในยามวิกฤตหรือฉุกเฉิน โดยการกำหนดแนวทาง

ดังนี้ 1.จัดตั้งทีมบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ (Business Continuity Plan Team) โดยมอบหมายเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 1 คน เป็นศูนย์กลางบริหารจัดการความต่อเนื่องของธุรกิจ 2.ระบุวิกฤตหรือเหตุฉุกเฉินและผลกระทบต่อสถานประกอบกิจการอย่างน้อย 5 มิติ อาทิ อาคารและสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ เทคโนโลยีและข้อมูลสำคัญ บุคลากรและทรัพยากรทางการเงิน และคู่ค้า/ผู้ให้บริการ/ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

3.วางกลยุทธ์ความต่อเนื่องทางธุรกิจเพื่อเป็นแนวทางจัดหาและบริหารทรัพยากรให้มีความพร้อมเมื่อเกิดวิกฤต และ 4.ฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแผนบริหารความต่อเนื่อง โดยโรงงานอุตสาหกรรมควรฝึกซ้อมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้พนักงานมีความพร้อมรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่เสมอ รวมถึงปรับปรุงแผนการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ ให้ทันสมัยและสามารถรองรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น