ไทยครองแชมป์ตลาดผัก-ผลไม้ในเวียดนาม ส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 61.8%

ไทยครองแชมป์ตลาดผัก-ผลไม้ในเวียดนาม ด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 61.8% หลังปลดล็อกการระงับนำเข้าผลไม้ไทย 4 ชนิด มะม่วง ลำไย ลิ้นจี่ และเงาะ แนะผู้ส่งออกต้องคุมเข้มเรื่องคุณภาพรักษาตลาด

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้การส่งออกผักและผลไม้ของไทยไปยังตลาดเวียดนามมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนามได้รายงานตัวเลขการนำเข้า 7 เดือนของปี 2560 พบว่า การนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นถึง 3.2% และผักผลไม้ไทยมีสัดส่วนการนำเข้ามากที่สุดถึง 61.8% ของการนำเข้าผักและผลไม้ทั้งหมดจากต่างประเทศของเวียดนาม โดยรองลงมา คือ จีน มีสัดส่วน 16% และยังพบว่ามีการนำเข้าจากอินเดียและนิวซีแลนด์เพิ่มขึ้นด้วย

ผลจากการที่ไทยส่งออกผักผลไม้ไปเวียดนามได้เพิ่มขึ้น มาจากการที่กระทรวงพาณิชย์ได้ผลักดันให้เวียดนามยกเลิกการระงับการนำเข้าผลไม้จากไทย 4 ชนิด ได้แก่ มะม่วง ลำไย ลิ้นจี่ และเงาะ จนทำให้ปัจจุบันไทยสามารถส่งออกผักและผลไม้ทุกชนิดไปยังเวียดนามได้ เลยส่งผลให้การส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การส่งออกจะต้องมีใบรับรองสุขอนามัยพืชที่ออกโดยหน่วยงานของไทยและส่งตัวอย่างผลไม้ให้กรมคุ้มครองพันธุ์พืช ภายใต้กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนามดำเนินการวิเคราะห์ เพื่อขอใบรับรองสุขอนามัยพืชก่อนที่จะดำเนินการส่งออกไปเวียดนาม

“กระทรวงพาณิชย์คาดว่าเวียดนามจะมีการนำเข้าผักและผลไม้เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต เพื่อป้อนความต้องการของตลาดภายในประเทศและส่งออกต่อไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยจะต้องปรับตัว เพื่อแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพ บรรจุภัณฑ์ และมาตรฐานสุขอนามัยพืชต่างๆ ที่จะต้องรักษาและพัฒนาเทคโนโลยีให้ตอบสนองความต้องการของตลาดให้มากขึ้น”นางอภิรดีกล่าว

นางอภิรดีได้กล่าวเสริมว่า ในด้านการลงทุน กระทรวงฯ มีแผนที่จะผลักดันให้ไทยขยายการลงทุนเข้าไปยังเวียดนามให้เพิ่มมากขึ้น เพราะเวียดนามมีนโยบายในการเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งไทยมี ข้อได้เปรียบในฐานะสมาชิกอาเซียน และเวียดนามเองก็เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่กระทรวงฯ ต้องการผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุน โดยเวียดนามมีนโยบายที่ชัดเจนในการเปิดรับนักลงทุน ปัจจุบัน ไทยได้มีการลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีโครงการลงทุน 470 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง หลังจากที่เวียดนามมีโครงการดึงดูดการลงทุนของต่างชาติ โดยเฉพาะการลงทุนผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งธุรกิจที่มีโอกาสมีทั้งด้านพลังงาน การเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การกระจายสินค้า ผลิตภัณฑ์จากฟาร์ม และสิ่งก่อสร้าง เป็นต้น

ทั้งนี้ กระทรวงกระทรวงพาณิชย์ ยังจะเดินหน้าผลักดันในการขยายการค้าและการลงทุนกับเวียดนามต่อไป และจะใช้เวทีต่างๆ ในการสร้างโอกาสทางการค้า การลงทุนให้กับผู้ประกอบการของไทย โดยในระหว่างการร่วมการประชุมรัฐมนตรีเอเปค และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ระหว่างวันที่ 8-11 พ.ย.2560 ที่นครดานัง ประเทศเวียดนาม ไทยจะใช้โอกาสนี้ในการพบปะเจรจาเพื่อขยายการค้าและการลงทุนกับเวียดนามประเทศกลุ่มอาเซียน และประเทศพันธมิตรที่เข้าร่วมประชุมด้วย