ส่งออกไทยเดือน มิ.ย. 64 ทำนิวไฮโต 43.82% สูงสุดในรอบ 11 ปี

ภาพ Pixabay

การส่งออกไทยในเดือนมิถุนายน 2564 ขยายตัวมูลค่าอยู่ที่ 23,699 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 43.82% สูงสุดในรอบ 11 ปี สินค้าที่เติบโตไปได้ดีทุกกลุ่มเกษตร อุตสาหกรรม ครึ่งปีแรกของไทย ขยายตัว 15.53%

วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกไทยในเดือนมิถุนายน 2564 พบว่ามีมูลค่า 23,699 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 43.82% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นมูลค่าสูงสุดในรอบ 11 ปี ถือว่าเป็นตัวเลขนิวไฮใหม่ ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่าอยู่ที่ 22,754 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 53.75% ไทยยังได้ดุลการค้า 945 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการส่งออกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าเกษตรเติบโต รวมไปถึงตลาดส่งออกสำคัญขยายตัวเชื่อว่าส่งออกทั้งปีของไทยจะไปในทิศทางที่เติบโต

ภาพรวมการส่งออกครึ่งปีแรกของปี 2564 (มกราคม-มิถุนายน) มีมูลค่าอยู่ที่ 132,334 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 15.53% การนำเข้ามีมูลค่าอยู่ที่ 129,895 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 26.15% ไทยได้ดุลการค้าครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2,439 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับแนวโน้มการส่งออกในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ยังมองว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องของโควิด-19 ที่กระทบภาคการผลิตโดยเฉพาะกลุ่มโรงงานที่ปิดตัว ในประเด็นนี้เห็นว่าอาจจะต้องพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อให้การผลิตยังคงเดินหน้าเพื่อการส่งออกไปได้ ซึ่งจะมีการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์หน้า ส่วนกรณีปัญหาเรื่องของการขาดแคลนแรงงาน ใบขึ้นทะเบียนแรงงานหมดอายุ และการกระจายวัคซีนให้กับกลุ่มแรงงาน ได้มีการหารือกับที่ประชุม ครม. เพื่อแก้ไขปัญหาแล้ว ทั้งนี้ เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งแก้ไขปัญหาต่อไปอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ภาคการผลิตยังคงเดินหน้าต่อไปได้

อย่างไรก็ดี สำหรับการผลักดันการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ กระทรวงพาณิชย์พร้อมร่วมมือกับภาคเอกชนในรูปแบบ กรอ.พาณิชย์ ที่จะดันการค้า การส่งออกให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม 130 กิจกรรมในการส่งเสริมการส่งออกทั้งการเจรจาการซื้อ-ขาย เป็นต้น ขณะนี้พบว่าเกิดมูลค่าการซื้อ-ขายล่วงหน้าแล้วอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท โดยก็เป็นความร่วมมือกันทุกฝ่ายรวมไปถึงเซลส์แมนจังหวัดและเซลส์แมนประเทศด้วย

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า การส่งออกของไทยที่ขยายตัวเป็นผลมาจาก การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เฟอร์นิเจอร์ สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ ถุงมือยาง สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของภาคการผลิต เช่น เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า และสินค้าคงทนหรือสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีราคาสูง เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น

นอกจากนี้ ตลาดส่งออกสำคัญก็ขยายตัวเกือบทุกตลาด เช่น สหรัฐ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน รวมไปถึงกลุ่มตลาดอาเซียน ที่การส่งออกโตต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากดูมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ขยายตัว 36% ขยายตัว 7 เดือนต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวได้ดี เช่น ยางพารา ขยายตัว 111.9% ขยายตัว 9 เดือนต่อเนื่อง ผัก ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 110.2% ขยายตัว 3 เดือนต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัว 81.5% ขยายตัว 8 เดือนต่อเนื่อง ส่วนสินค้าที่หดตัว เช่น อาหารทะเลสด แช่เย็น แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป หดตัว 3.6% สินค้าปศุสัตว์ หดตัว 40.1% ในช่วงครึ่งปีแรก การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 11.9%

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 44.7% ขยายตัว 4 เดือนต่อเนื่อง สินค้าที่ขยายตัวไปได้ดี เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัว 78.5% ขยายตัว 8 เดือนต่อเนื่อง อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัว 114.3% ขยายตัว 4 เดือนต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัว 38.1% ขยายตัว 13 เดือนต่อเนื่อง สินค้าที่หดตัว เช่น อากาศยานและส่วนประกอบ 63.5% ปูนซีเมนต์ หดตัว 30.3% ในช่วงครึ่งปีแรก การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 15.9%

อย่างไรก็ดี แนวโน้มการส่งออกของไทยยังขยายตัวไปได้ดี สะท้อนจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเรื่องเป็นเดือนที่ 6 รวมไปถึงราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น หลังมีมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์โดยเฉพาะตลาดอาเซียน การกระจายวัคซีนของแต่ละประเทศ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมา ซึ่งคาดว่าเป็นผลดีต่อการส่งออกไทย

นอกจากนี้ ไทยยังมีกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกต่อเนื่อง เช่น การจัดงานส่งเสริมผลไม้ไทยในเมืองสำคัญของจีน การปรับกลยุทธ์การส่งออกตามแนวคิด BCG Model การส่งเสริมการส่งออกในภาคอุตสาหกรรมดิจิทัล สามารถสร้างมูลค่าการซื้อขายทางธุรกิจถึง 1,586 ล้านบาท เป็นต้นจึงเชื่อว่าการส่งออกจากนี้จะยังคงเติบโตตามปัจจัยเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทยต่อไป