ไทยยูเนี่ยนโชว์กำไร Q2 ทะลุ 2,343 ล้าน ดันกำไรครึ่งปีเพิ่ม 51.7% กว่า 4,146 ล้าน

ธีรพงศ์ จันศิริ

ผลประกอบการ ไทยยูเนี่ยน แข็งแกร่งไตรมาส 2 คว้ากำไรทะลุ 2,343 ล้านบาท ดันกำไรครึ่งปีเพิ่ม 51.7% กว่า 4,146 ล้าน ปัจจัยบวกความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ทำใหผู้บริโภคในตลาดสหรัฐและยุโรปเริ่มกลับมามีกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น ช่วยยอดขาย “อาหารทะเลแช่แข็ง-ร้านอาหารเรดล็อบเตอร์” ฟื้น เดินหน้าสินค้านวัตกรรม

วันที่ 9 สิงหาคม 2564 นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือทียู กล่าวว่า บริษัทได้รายงานยอดขายประจำไตรมาส 2 ปี 2564 อยู่ที่ 35,883 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% จากปีก่อนหน้า โดยไทยยูเนี่ยนทำสถิติมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2563 และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 19%

สำหรับภาพรวมในครึ่งปีแรก ยอดขายเติบโตขึ้น 4.4% อยู่ที่ 67,007 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 51.7% อยู่ที่ 4,146 ล้านบาท เป็นผลจากการที่ไทยยูเนี่ยนยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคทั่วโลก สำหรับครึ่งปีแรกนี้ บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอยู่ที่ 0.45 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2 ของปี ตลาดหลัก ๆ ได้แก่ ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาและบางประเทศในทวีปยุโรป เริ่มมีกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น เช่น การพบปะสังสรรค์ การจัดงาน รวมถึงการรับประทานอาหารนอกบ้าน ส่งผลให้ธุรกิจบริการด้านอาหารและค้าปลีกในสหรัฐอเมริกามีการฟื้นตัว ช่วยให้ยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นของไทยยูเนี่ยนอยู่ที่ 14,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 28.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจร้านอาหารในสหรัฐและยุโรป นอกจากนี้บริษัทยังได้รับประโยชน์จากการที่ธุรกิจเรดล็อบเตอร์ซึ่งเป็นธุรกิจเชนร้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำผลงานได้ดีขึ้นมากในไตรมาสที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญต่อเนื่องกับธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 2 นั้น ส่วนหนึ่งมาจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มของอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอื่น ๆ ของบริษัทอีกด้วย โดยเฉพาะในส่วนของอาหารสัตว์เลี้ยง ได้รับอานิสงส์จากการที่ผู้บริโภคใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้นและรับเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้นด้วย ส่งผลให้ยอดขายของธุรกิจส่วนนี้เพิ่มขึ้น 12.5% คิดเป็นมูลค่า 5,741 ล้านบาท

“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ความต้องการอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในไตรมาส 2 ของปี 2564 สถานการณ์ในบางประเทศเริ่มคลี่คลายและผู้บริโภคเริ่มกลับมามีกิจกรรมต่าง ๆ นอกบ้านมากขึ้น ทำให้ยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องลดลง 6.8% คิดเป็นมูลค่า 15,272 ล้านบาท”

“ธุรกิจของไทยยูเนี่ยนมีความหลากหลายในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดที่เรามีอยู่ทั่วโลก ประเภทของผลิตภัณฑ์ และแหล่งที่มาของรายได้บริษัท และนี่คือปัจจัยที่ส่งผลให้ผลการดำเนินธุรกิจของเราในไตรมาสที่ผ่านมาทำผลงานได้ดี เรายังคงเน้นในเรื่องของความสามารถในการทำกำไร วินัยทางการเงินและธุรกิจใหม่ ๆ ที่เพิ่มมูลค่า

ในขณะที่ความต้องการอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเริ่มปรับตัวสู่ระดับปกติ ประกอบกับสถานการณ์ในประเทศที่เป็นตลาดหลักของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นฟื้นตัว ส่งผลให้ผู้คนออกมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติมากขึ้น ผมรู้สึกภูมิใจที่สินค้าของไทยยูเนี่ยนยังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการ และยินดีที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนที่ใส่ใจสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ว่าจะใช้เวลาอยู่ที่บ้านหรือนอกบ้านก็ตาม”

พร้อมกันนี้ ในเดือนพฤษภาคม บริษัทได้ทำสัญญาซื้อหุ้นอีก 49% ที่เหลือของ บริษัท รูเก้น ฟิช (Rügen Fisch AG) รวมถือหุ้น 100% โดยรูเก้น ฟิช มีสำนักงานใหญ่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเยอรมนี ล่าสุดมีผลประกอบการสูงกว่า 140 ล้านยูโร หรือประมาณกว่า 5,600 ล้านบาท และเป็นผู้นำตลาดอาหารทะเลกระป๋องในประเทศเยอรมนี

และที่สำคัญในครึ่งแรกของปี 2564 ไทยยูเนี่ยนยังคงดำเนินแผนกลยุทธ์ในการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ที่เน้นในเรื่องของนวัตกรรมรวมถึงสตาร์ตอัพอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนในบริษัท วิอาควา บริษัททางด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่พัฒนาการจัดการโรคในสัตว์น้ำ บริษัท บลูนาลู ที่พัฒนาโปรตีนอาหารทะเลจากเซลล์เพาะเลี้ยง และบริษัท อเลฟ ฟาร์มส์ ที่พัฒนาเนื้อสเต๊กจากการเพาะเลี้ยงเซลล์

“เราต้องการนำเสนอทางเลือกต่าง ๆ ให้กับลูกค้าของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และรวมไปถึงการสนับสนุนการดูแลรักษาธรรมชาติและท้องทะเล เราจะเห็นผู้บริโภครุ่นใหม่ๆ ทั่วโลกเริ่มเลือกทานอาหารโปรตีนจากพืชควบคู่ไปกับการรับประทานเนื้อปลาและเนื้อสัตว์อื่น ๆ โปรตีนทางเลือกนั้นปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณที่น้อยกว่า และกำลังก้าวขึ้นมาเป็นส่วนสำคัญของอาหารทั่วโลก รวมถึงธุรกิจของไทยยูเนี่ยนด้วย”

นอกจากนี้ ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงครึ่งปีแรก ไทยยูเนี่ยนเดินหน้าดูแลชุมชนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ทั่วโลก ภายใต้โครงการ ไทยยูเนี่ยนแคร์ โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งกำลังเผชิญการแพร่ระบาดในรอบที่สาม บริษัทได้บริจาคผลิตภัณฑ์อาหารมากกว่า 200,000 ชิ้น และนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา บริษัทได้บริจาคผลิตภัณฑ์รวมมากกว่า 400,000 ชิ้น และมากกว่า 3,300,000 ชิ้นทั่วโลก ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด การดูแลชุมชนยังรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงที่ถูกทอดทิ้ง

โดยบริษัทได้บริจาคอาหารแมวเบลลอตต้าและอาหารสุนัขมาร์โวจำนวนกว่า 75,000 กระป๋อง ให้กับศูนย์พักพิงสัตว์เลี้ยง องค์กรสัตว์เลี้ยง ตลอดจนอาสาสมัครในประเทศไทยที่ช่วยเหลือสุนัขและแมวข้างถนนที่เจ็บป่วยและได้รับบาดเจ็บ

ไทยยูเนี่ยนได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ โรงพยาบาล และองค์กรบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการสนับสนุนเครื่องควบคุมการให้ออกซิเจนแบบอัตราการไหลสูงจำนวน 20 เครื่อง และชุดตรวจโควิดแบบเร่งด่วน สำหรับใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 10,000 ชุด รวมมูลค่า 7.2 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาลและจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท