เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ปราจีนบุรี รายงานว่าจากการสำรวจนานาทรรศนะของเกษตรกรพบว่าเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังมีเฮ ปีนี้ราคาหัวมันสดราคาสูง เกษตรกรต่างเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิต-เร่งปลูกรอบใหม่อีก หวั่นราคาตก แต่ละพื้นที่เร่งไถมันยกใหญ่ ปีนี้พอยิ้มได้ โดยลงพื้นที่ตรวจสอบลานมัน ป.รุ่งเรือง พบเกษตรกรชาวไร่มันนำหัวมันสำปะหลังสดมาขายและปลูกใหม่
นายเรืองฤทธิ คมคายอายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่97/1หมู่ 3 ต.เขาไม้แก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า ปีนี้ราคามันราคาค่อนข้างสูง ไม่เหมือน2-3 ปีที่ผ่านมา ราคาไม่ถึงบาท ปีนี้ราคามันสำปะหลังสูงขึ้นเล็กน้อย ก.ก.ละ 2 บาทกว่า ส่งผลให้เกษตรกรพอลืมตาอ้าปากได้ ตนปลูกมัน 200 กว่าไร่ ตอนนี้เร่งไถเก็บผลผลิตแล้ว 40 ไร่ เพื่อแข่งขันกับคนอื่น และจังหวัดอื่นๆ เช่นเดียวกันและจะต้องเร่งรีบปลูกมันสำปะ ต่ออีกรอบในฤดูกาลหน้าบ้างแล้ว
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- ราคาทองวันนี้ (29 มี.ค. 67) พุ่งกระฉูด 600 บาท ทองรูปพรรณบาทละ 39,050 บาท
- เลิกอุ้มดีเซล 30 บาท จ่อขยับเพดานราคา 2 บาท มีผล 1 เมษายน 2567
เกษตรกรชาวสวนปาล์ม ในพื้นที่พบว่าราคาตกต่ำสุดๆ พอๆ กับสวนยางพารา พบนายสถิตย์ นาจำปา อายุ 50 ปี เลขที่ 166 หมู่ 16 ต.วังท่าช้าง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า ปีนี้ราคาปาล์มตกต่ำเหลือแค่กิโลกรัมละ 3.50 บาท และมีแนวโน้มว่าราคาจะล่วงลงอีกเกษตรกรหลายคนพากันหยุดเก็บขายแล้วบางคนขายเพื่อไม่ให้ผลผลิตเสียหายแม้จะได้บ้างนิดหน่อยก็ยังดีที่ผ่านมาขายปาล์มได้คนละไม่ถึงหมื่นบาทต่อครั้งสำหรับเกษตรกรที่มีสวนปาล์ม 10-20 ไร่ เกษตรกรส่วนใหญ่บอกไม่อยากเอ่ยถึงรัฐบาลว่ามีความต้องการอะไร เพราะไม่สามารถช่วยอะไรได้ คิดว่าราคาพืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำ มีปัจจัยหลายอย่างจะไปโทษรัฐบาลก็ไม่ได้ ทุกคนต่างก็มีอาชีพเป็นเกษตรกรชาวนาชาวไร่ชาวสวนกันทั้งนั้น ซึ่งเราก็รู้ๆ กันอยู่จะห้ามคนไม่ให้ปลูกอะไร ที่เหมือนๆ เราก็ไม่ได้เพราะใครๆ ก็อยากมีกินมีใช้กันทุกคน ทางออกที่ดีที่สุดต้องหันมาพึ่งตนเองให้มากที่สุด สำหรับเกษตรกรรายย่อยทำเกษตรแบบพอเพียงทำในครัวเรือนทำเองขายเองถึงจะพออยู่ได้
นายสถิตบอกว่า ครอบครัวตนเป็นครอบครัวเล็กๆ แบ่งการทำเกษตรเป็นส่วนๆ โดยใช้พื้นที่ปลูกปาล์ม 8ไร่ ,ข้าวไรซ์เบอรรี่ 6ไร่ , ข้าวเล็บมือนาง 5 ไร่ , ข้าวหอมมะลิที่ปลูกไว้กินเอง 4 ไร่ ทุกขั้นตอนในการผลิตไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง พร้อมยังเลี้ยงวัว 20 ตัวไว้ใช้แรงงานทางการเกษตร ในพื้นที่มีแหล่งน้ำไว้ ไม่ให้ขาดแคลนยามหน้าแล้ง-ระบายน้ำหน้าฝน โดยขุดบ่อเลี้ยงปลาอีกนิดหน่อย และทำมาแล้ว15 ปี ก็พออยู่ได้ ใช้ในการนำมากินเป็นอาหารในครอบครัว เหลือก็ขายสร้างรายได้ นอกจากนี้ตนเองมีโรงสีขนาดเล็กไว้สีข้าวเองในครัวเรือนเป็นของตัวเองไม่ต้องง้อนายทุนที่จะมาตัดราคาค่าความชื้นข้าวให้เสียราคา ตนรู้สึกอยู่ดีกินดีมีความสุขในวิธีบ้านอกที่หาได้ยากมากในปัจจุบัน
“การทำเกษตรผสมสานที่ตนทำมานี้ทำได้และอยู่ได้โดยขายข้าวตามราคาท้องตลาด ข้าวไรซ์เบอรรี่ กก.ละ 50 บาท ข้าวเล็บมือนาง 7 บาท ในราคาข้าวเปลือก ทั้งนี้จะขายตามราคาท้องตลาดมีลูกค้าขาประจำอยู่ 10 รายพอเก็บไว้ขายได้ตลอดปี”
ที่มา มติชนออนไลน์