นักธุรกิจทวงแผนวัคซีน-ATK ประยุทธ์ ปลด 2 รมช.ไม่สะเทือนเศรษฐกิจ

PHOTO:REUTERS/Athit Perawongmetha/File Photo

ภาคธุรกิจประสานเสียง “สภาอุตฯ-สภาหอฯ” ย้ำปลด 2 รัฐมนตรีช่วย ไม่มีผลต่อเศรษฐกิจ หากปรับ ครม.ขอให้เลือกคนที่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีม-วอนฟังเสียงเอกชน พร้อมกระทุ้งอีกรอบ เรื่องความชัดเจนการจัดหา-กระจายวัคซีน ช่วยเอกชนเรื่องชุดตรวจโควิด หวั่นเปิดประเทศภายใน 120 วัน อาจทำได้เฉพาะเมืองที่พร้อม ผลพวงฉีดวัคซีนยังไม่เข้าเป้า

หลังจากราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศโปรดเกล้าฯ 2 รัฐมนตรีช่วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี และมีผลทันทีเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 อย่างไรก็ตาม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรี ขณะที่ภาคเอกชนมีเสียงสะท้อนต่อเรื่องดังกล่าวดังนี้

นักธุรกิจชี้ไม่มีผลต่อเศรษฐกิจ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การปลด 2 รัฐมนตรีดังกล่าวนั้น ไม่มีผลต่อเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาทั้ง 2 ท่านไม่ได้มีบทบาทในด้านเศรษฐกิจ

ต่อคำถามถึงความคาดหวังของภาคเอกชนในการปรับ ครม.ครั้งนี้ นายสุพันธุ์
ระบุว่า ไม่ว่าจะปรับอย่างไร ปรับเฉพาะตำแหน่งหรือมีการโยกสลับทั้งชุด ก็ขอให้เลือกบุคคลที่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมเดียวกันได้อย่างราบรื่น

เพื่อให้นายกรัฐมนตรีมีเอกภาพในการดำเนินนโยบาย และช่วยกรุณาฟังข้อเสนอแนะของภาคเอกชนเพื่อนำไปใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นโยบายเร่งด่วนที่ควรจะต้องเร่งดำเนินการหลังจากการปรับคณะรัฐมนตรี คือ ประเด็นเรื่องที่ภาคเอกชนเสนอมาโดยตลอด ทั้งเรื่องการจัดหาและกระจายวัคซีนให้มาฉีดให้กับประชาชนโดยเร็ว การเปิดประเทศอย่างจริงจัง การเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศสามารถเดินทางได้ รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนได้

“แม้ว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่ผมมองว่าเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลไม่มีปัญหา นักลงทุนจากต่างประเทศและภาคเอกชนเข้าใจรัฐบาลไทย”

จี้ความชัดเจนเรื่องวัคซีน

สอดคล้องกับนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่ารัฐมนตรีช่วยว่าการทั้ง 2 ท่านจะถูกปลด

เจ้ากระทรวงเศรษฐกิจต่าง ๆ ยังคงปฏิบัติงานอยู่ สามารถดำเนินงานและนโยบายเศรษฐกิจได้ปกติ แต่สิ่งสำคัญที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการหลังจากนี้ก็คือ

จะต้องมีความชัดเจนในเรื่องการจัดหาและกระจายวัคซีนตามที่รัฐบาลได้เปิดเผยว่าจะมีการนำเข้าว่าจะมีแผนไปทิศทางใด และต้องมีความโปร่งใส โดยเน้นกระจายวัคซีนไปยังต่างจังหวัดโดยเฉพาะพื้นที่ 29 จังหวัดเสี่ยงก่อน

“วัคซีนยังเป็นทางออกหลักของปัญหาตัวเดียว ดังนั้นเมื่อวัคซีนเข้ามาตามแผนก็ต้องเตรียมความพร้อมในการกระจาย ให้เขารู้ว่าวัคซีนจะมาถึงเมื่อไหร่ จะได้ฉีดเมื่อไหร่ และฉีดวัคซีนให้ทันเวลา โดยต้องสื่อสารและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันไม่ให้วัคซีนเหลือแล้วหมดอายุเช่นในบางประเทศ” นายสนั่นกล่าวและว่า

ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องช่วยจัดหาชุดตรวจ (ATK) เพื่อกระจายให้กับภาคประชาชน เพราะอย่างน้อยการมีชุดตรวจที่เพียงพอก็จะช่วยให้เราสามารถแยกผู้ป่วยสีเขียว สีเหลือง และสีแดงออกจากกัน และให้การรักษาอย่างถูกวิธี

“การร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นสิ่งที่สำคัญมากในช่วงเวลาที่ยังเหลืออยู่อีกไม่กี่เดือนนี้ จะทำอย่างไรให้ทุกอย่างคลี่คลาย จะทำอย่างไรที่จะระวังป้องกัน ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อแม้จะมีจำนวนสูงเป็นหลัก 10,000 คน

แต่ก็ยังดีที่จำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วจำนวนเตียงว่างมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถหาเตียงได้เร็วขึ้น การดูแลเรื่องสาธารณสุขเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำควบคู่ไปกับการดูแลเรื่องเศรษฐกิจ ถึงอย่างไรโควิดก็คงจะอยู่กับเราไปอีกนานในลักษณะนี้”

นายสนั่นกล่าวต่อไปว่า สำหรับการวางนโยบายเปิดประเทศ 120 วันนั้น มองว่าน่าจะเปิดได้ในส่วนของเมืองที่พร้อม ตราบใดที่ประชาชนทั้งประเทศยังฉีดวัคซีนไม่ถึง 50% ทั้งที่ไทยควรจะฉีดได้ตามเกณฑ์ถึง 70% ยกตัวอย่าง จังหวัดภูเก็ตที่มีการนำร่อง Phuket Sandbox

ซึ่งจังหวัดได้เตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปแล้ว 70 ถึง 80% แต่ภายหลังจากที่เปิดเกาะไปแล้วก็พบว่า มีการพบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากแรงงานต่างด้าวและแรงงานจากจังหวัดอื่นที่เดินทางเข้าไปทำงานที่ภูเก็ต นั่นจึงทำให้ภาครัฐยังดำเนินนโยบายนี้ต่อเนื่อง และจังหวัดอื่นก็มีแผนที่จะเปิดจังหวัดตามมา

ห่วงเสถียรภาพรัฐบาล

ขณะที่นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้น

โดยส่วนตัวมีความกังวลอยู่บ้าง ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลังจากที่ 2 รัฐมนตรีถูกปลดออกจากตำแหน่ง ตอนนี้ห่วงอย่างเดียว คือ เสถียรภาพของรัฐบาล หลังจากปลด 2 รัฐมนตรีออกไปแล้ว

จะสร้างความปั่นป่วนอะไรหรือไม่ ส่วนคนที่จะเข้ามาดูแทนถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร นอกจากนี้ยังมองไปถึงความเชื่อมั่นในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ

“สิ่งสำคัญที่เป็นห่วงช่วงนี้ คือ ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งเรื่องการยุบสภา การเลือกตั้ง หรือรัฐธรรมนูญจะไม่ผ่าน ไม่สามารถคาดการณ์ได้เลย

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่านายกรัฐมนตรีคงจะมีแนวทางและทางออกในการแก้ปัญหาอยู่ในใจ คงไม่ใช่การปลดเพราะอารมณ์ หรือไม่คิดมาก่อนแน่นอน”

แหล่งข่าวผู้บริหารระดับสูงจากวงการค้าปลีกรายหนึ่ง กล่าวในเรื่องนี้ว่า การปลด 2 รัฐมนตรีช่วยที่เกิดขึ้น อาจทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีหรือไม่ ในขณะนี้ยังไม่มีความชันเจนนัก

และเป็นเรื่องของเสถียรภาพทางการเมือง แต่ไม่กระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงไปภาพรวมค้าปลีกในระยะสั้น เนื่องจากปัจจุบันเรื่องของกำลังซื้อไม่เชื่อมโยงกับการเมืองมากนัก

แต่ในระยะยาวหากการเมืองยังไม่มีเสถียรภาพ ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในด้านของความเชื่อมั่นด้านการลงทุนจากต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทย

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาพรวมธุรกิจค้าปลีกหลังการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ หากมีผลด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้นเชื่อว่าจะเป็นส่วนสุดท้ายที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากค้าปลีกจัดอยู่ในเศรษฐกิจจุลภาค

ซึ่งทำให้มีเวลาเตรียมพร้อมตั้งรับหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แต่อีกด้านหากเมื่อเหตุการณ์สงบค้าปลีกก็จะเป็นส่วนสุดท้ายที่ฟื้นจากเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน ทำให้ยังมีเวลามองธุรกิจอื่น ๆ ขาขึ้น และเตรียมพร้อมรับมือเช่นเดียวกัน

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย(FETCO) กล่าวว่า หลังจากมีปัญหาภายใน เชื่อว่าการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) รอบใหม่คงจะออกมาดี ซึ่งน่าจะเป็นการปรับเพื่อให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ทำงานเป็นทางเดียวกันมากขึ้น โดยปรับแล้วก็หวังว่านายกฯจะสามารถบริหารจัดการให้มีความสามัคคีในการทำงาน เพราะตอนนี้มีความจำเป็นมากในการต้องบริหารเศรษฐกิจและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด ดังนั้นหลังจากนี้คงช่วยลดปัญหาและความเสี่ยงทางการเมืองที่จะมีผลต่อตลาดทุนไทยลงได้

“แต่ทั้งนี้การปรับ ครม.คงต้องพิจารณารายชื่อที่ปรับเข้ามาด้วยว่าจะปรับตำแหน่งอื่นเพิ่มเติมจากการประกาศโปรดเกล้าพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี 2 ท่านล่าสุดด้วยหรือไม่ โดยรายชื่อที่ตลาดทุนไทยให้ความสนใจคือทีมเศรษฐกิจมากกว่า ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรจากปัจจุบันคงจะไม่มีผลอะไรมากมาย โดยผลที่ดีขึ้นที่ตลาดทุนมองคือหากทำให้นายกฯ ทำงานได้ดีขึ้นก็จะสามารถช่วยขับเคลื่อนนโยบายได้ดีขึ้น” นายไพบูลย์กล่าว

ประยุทธ์ยังไม่ปรับ ครม.

สถานการณ์การเมืองหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ปฏิบัติการปลด 2 รัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 171 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอํานาจในการให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคําแนะนํา

ตามพระบรมราชโองการระบุชัดว่า “บัดนี้ นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า สมควรให้รัฐมนตรีบางคนพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์แก่ราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171

ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้รัฐมนตรีดังต่อไปนี้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีจะไม่เร่งปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะทั้ง 2 ตำแหน่ง ไม่อยู่ในจุดที่สำคัญของการบริหารราชการแผ่นดินในขณะนี้ และการมีโควตารัฐมนตรีไว้ในมือ

จะยิ่งทำให้มีอำนาจต่อรองทางการเมืองเพิ่มขึ้น อีกทั้งปรากฏการณ์ปลด 2 รัฐมนตรี หลังเกิดขบวนการวางแผนโค่นล้มเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นการส่งสัญญาณการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จของนายกรัฐมนตรี

แม้จะมีความตึงเครียดระหว่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับนายกรัฐมนตรี ที่ชิงปฏิบัติการปลด 2 รัฐมนตรีที่สังกัดกลุ่มการเมืองสายตรง พล.อ.ประวิตร โดยไม่ได้บอกแผนการล่วงหน้า แต่เครือข่าย 3 ป.ก็ยังแข็งแกร่ง

แก้ รธน. เลือกตั้งบัตร 2 ใบ

ประกอบกับวันที่ 10 กันยายน 2564 ในการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พุทธศักราช… (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91) ที่เกี่ยวข้องกับระบบการเลือกตั้ง

ผลการลงมติ 472 เสียง แบ่งเป็น ส.ส. 323 เสียง ส.ว. 149 เสียง ไม่เห็นชอบ 33 เสียง เป็นของ ส.ส. 23 เสียง ส.ว. 10 เสียง งดออกเสียง 187 เสียง แบ่งเป็น ส.ส. 121 เสียง ส.ว. 66 เสียง ถือว่าผ่านการเห็นชอบของที่ประชุม

การแก้รัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้ จะทำให้ระบบเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นครั้งหน้า เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ คือ ให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 500 คน แบ่งเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต 400 คน (เดิม 350 คน)

และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน (เดิม 150 คน) ให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เลือก ส.ส. 2 ประเภท (เดิม ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ตัดสินใจเลือก ส.ส., พรรค และนายกฯ ในบัญชีที่พรรคนำเสนอ) และการคำนวณสัดส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค

ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศ แล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรค (เดิม เข้าสูตรคำนวณหา ส.ส.พึงมีได้)