ส่งออกพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย โต 10-20% เร่งตัดสินใจ CPTPP

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

ในงานสัมมนา “ปลุกพลังส่งออก พลิกเศรษฐกิจไทย” ซึ่งจัดโดย “มติชน” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เริ่มต้นด้วยการปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ความหวังส่งออกไทย ในมรสุมโควิด” โดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ความมั่นใจ “การส่งออก” จะเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน แม้ว่าปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะทุบรายได้ในส่วนของการท่องเที่ยววูบไปแล้ว แต่ไทยยังมีรายได้จากการส่งออกเป็นอีกขาที่มาช่วยพยุง

โดยในช่วง 7 เดือนแรก (มกราคม-กรกฎาคม 2564) ไทยส่งออกไปแล้ว คิดเป็นมูลค่า 154,985 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 16,20% สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 4 เท่า และช่วงโค้งสุดท้ายเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ แม้ภาคการผลิตจะได้รับผลกระทบจากปัญหาล็อกดาวน์

แต่ยังมีโอกาสที่การส่งออกจะเติบโต 2 หลัก และจะดีต่อเนื่องไปถึงปี 2565 ซึ่งเป็นผลมาจากกระทรวงพาณิชย์ได้ใช้นโยบาย “รัฐหนุน เอกชนทำ” มีการตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน หรือ “กรอ.พาณิชย์” เข้าช่วยแก้ไขปัญหาและลดอุปสรรคในหลายด้าน อาทิ ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์, ค่าระวางเรือแพง, ปัญหาต้นทุนการผลิตจากวัตถุดิบ

แต่ไทยต้องเตรียมพร้อมเพื่อรักษาการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นการรับมือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น การใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีมากขึ้น ทั้งด้านแรงงาน-สิ่งแวดล้อมที่จะรุนแรงขึ้นในอนาคต และที่สำคัญก็คือ ไทยต้องรับมือปม “การเมืองระหว่างประเทศ” ที่มาผูกโยงกับการค้าระหว่างประเทศ

ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในประเทศอินโด-แปซิฟิกระหว่างสหรัฐ สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย นำมาสู่การตัดสินใจเข้าร่วม “ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP)” ของจีนล่าสุด

“การที่จีนประกาศเข้าร่วมความตกลง CPTPP สะท้อนว่า การเมืองเริ่มผูกติดกับเศรษฐกิจ-การค้าโลก เป็นสิ่งที่ต้องติดตามเพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก จากนี้จีนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมาตรการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่

ADVERTISMENT

เราส่งออกไปจีนจะต้องปรับเปลี่ยนมาตรฐานหรือไม่ ถ้าเราเข้าร่วม CPTPP นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องเตรียมรับมือ เพราะโลกเปลี่ยนไปเร็วมาก” นายจุรินทร์กล่าว

ล่าสุดการส่งออกไทยในเดือนสิงหาคม มีมูลค่า 21,976.23 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.93 แม้ว่าจะชะลอตัวลงจากเดือนกรกฎาคมจากผลกระทบโควิด-19 รอบใหม่ “แต่ก็ยังถือว่าทำได้ดี” ส่วนการส่งออกในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค. 2564) มีมูลค่า 176,961.71 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.25 ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4%

ADVERTISMENT
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์

CPTPP จะเอาอย่างไร

ด้าน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายกกิตติคุณสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวถึงภาพรวมการส่งออกของไทยนั้น “ดีขึ้น และมีโอกาสเติบโต 10-20%” จากความต้องการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น บาทอ่อน แต่ไทยยังประสบปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์อยู่

แต่สิ่งที่น่าห่วงที่สุดก็คือ ไทยไม่มี “National Agenda” ดังนั้น ต้องมี “ทีมไทยแลนด์” เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ประเทศ ไม่ต้องเปรียบเทียบคู่แข่ง แต่ไทยต้องมียุทธศาสตร์ของเราปักหมุดให้ชัดเจนว่า ต้องการอะไร เพราะขณะนี้มีประเด็นความขัดแย้ง (conflic of interest) ในประเทศตลาดหลักส่งออกเกิดขึ้น

รวมไปถึงการที่ประเทศไทยไม่ตัดสินใจว่า จะเข้าร่วมความตกลง CPTPP หรือความตกลงอะไรเลยหรือไม่ อย่างไร ในขณะที่ “เวียดนาม” เซ็นเข้าร่วมไปแล้วทุกความตกลง ไม่ว่าจะ FTA เวียดนาม-สหภาพยุโรป, CPTPP และยิ่ง “จีน” เข้าร่วม CPTPP ก็ยิ่งเป็น “เสือเหยียบเมฆ” ทำให้ความตกลง RCEP ที่ไทยเข้าร่วมนั้น “เสียราคาไปเลย”

“การคำนึงถึงภาคเกษตรเป็นเรื่องถูกต้อง เพราะประชากรภาคเกษตรมี 11 ล้านครอบครัว รวม 30 ล้านคน ถ้าเกษตรอยู่ได้ ประเทศเราจะสบาย แต่การเข้าร่วมความตกลง CPTPP เป็นหน้าที่ที่ภาครัฐต้องอธิบายประชาชนให้เข้าใจว่า มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร เมื่อเข้า CPTPP ไปแล้ว

รัฐต้องเตรียมรับมืออย่างไร มีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างไร หากจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอาชีพก็ต้องทำ เพราะหากเราไม่เข้า CPTPP แบบประเทศอื่น ๆ การส่งออกของเราก็จะแข่งขันไม่ได้ สุดท้ายคนทำเกษตรส่งสินค้าให้ภาคส่งออกก็ต้องเดือดร้อนอยู่ดี” ดร.พจน์กล่าว

ยุทธนา ศิลป์สรรค์วิชช์

ตั้ง กรอ.รายอุตสาหกรรม

ขณะที่ นายยุทธนา ศิลป์สรรค์วิชช์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้ส่งออกจะขยายตัว 10-12% แต่ยังไม่สามารถเทียบกับการส่งออกปีที่แล้ว (2563) ที่ติดลบ 16-18% ได้ ส่วนแนวโน้มการส่งออกปี 2565 จะมีความท้าทายอย่างมาก เพราะสถานการณ์ยังอยู่ในภาวะที่ต้องเฝ้าระวัง การจะฟื้นกลับมาใกล้เคียงกับปีก่อนที่โควิด-19 จะระบาด น่าจะเป็นไตรมาส 2 ของปี 2565

“โควิดทำให้คนไม่ซื้อเสื้อผ้าเพราะไม่ได้ออกจากบ้าน ในปีที่ผ่านมาผู้ผลิตไทยต้องปรับตัวกันอย่างมาก โดยเฉพาะการปรับสู่ garment medical textile มีการผลิตอุปกรณ์ที่ขาดแคลนด้านสาธารณสุข ทั้งชุด PPE หน้ากากอนามัย

ทำให้บางบริษัทพบโอกาสในวิกฤต สามารถตั้งไลน์ผลิตใหม่ กลายเป็นธุรกิจใหม่ขึ้นมาได้ในเวลา 6 เดือน การปรับตัวเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินต่อเนื่อง ตอนนี้นิวนอร์มอลกลายเป็น นิว นิว นอร์มอล ไปแล้ว” นายยุทธนากล่าว

ดังนั้น ภาพที่อยากเห็นก็คือ รัฐบาลและเอกชนหารือร่วมกันเป็น กรอ.รายอุตสาหกรรม เพื่อวางยุทธศาสตร์วิจัยและพัฒนา ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง อาจต้องลงทุนหลักร้อยล้านเพื่อพัฒนาห้องปฏิบัติการ ผลิตต่อยอดสินค้าคุณภาพสูงระดับหมื่นแสนล้าน ทดแทนการนำเข้าอย่างชุด PPE ต่อไปการแข่งขันได้จะต้องมีทั้งถูก เร็ว คุณภาพ ฟังก์ชั่น พร้อมบริการ

โดยสิ่งสำคัญก็คือ การใช้ประโยชน์จากกรอบข้อตกลงทางการค้า ทั้ง FTA ทวิภาคี และพหุภาคีได้ด้วย ยกตัวอย่าง หากผลิตสินค้าจากประเทศไทยส่งออกไปสหภาพยุโรป มีต้นทุนภาษี 16% แต่ถ้าผลิตที่เวียดนามภาษีเป็น 0% อย่างนี้แล้วจะทำให้ไทยแข่งขันได้อย่างไร

ดร.การัณย์ อังอุบลกุล

โอกาสหลังโควิดผ่อนคลาย

ด้าน ดร.การัณย์ อังอุบลกุล ประธานกรรมการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ โคราช จำกัด กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ในครัวและครัวเรือน ในปีที่ผ่านมาเติบโต 35% ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น มีการใช้สินค้าแวร์เฮาส์เพิ่มขึ้น ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/2564

คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง หากไม่มีการระบาดที่รุนแรงจะโตไม่ต่ำกว่า 30% จากอานิสงส์การรีฟิลสต๊อก ซึ่งออร์เดอร์ปลายปีนี้น่าจะเริ่มกลับมาคึกคัก จากที่ตลาดหลักในประเทศ ตลาดสหรัฐ-อังกฤษ ได้รับวัคซีนเป็นส่วนใหญ่ จึงเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ต้องทำงาน “เชิงรุก” โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นคู่แข่ง ความท้าทายเรื่องสงครามการค้า (trade war) ไทยต้องเร่งเจรจาในแง่ของกฎระเบียบการค้า รวมถึงความท้าทายในเรื่องตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือ ขอบคุณภาครัฐที่ช่วย เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายได้ในอนาคต

“การปรับตัวของธุรกิจ ความจริงผู้ประกอบการทุกคนทราบดีถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกธุรกิจได้รับผลกระทบด้วยกันหมดทั้งโลก นี่จึงควรเป็นโอกาสหลายอย่าง ทั้งการสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กร องค์กรไหนยิ่งปรับตัวได้เร็วก็ยิ่งได้เปรียบ เช่น ปรับการขายออนไลน์ การพัฒนาอินโนเวชั่น โดยเฉพาะการใกล้ชิดกับลูกค้า การศึกษาถึงพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร” ดร.การัณย์กล่าว