โรงไฟฟ้าชุมชนนำร่อง 43 ราย จ่อลงนาม กฟภ. COD ตามแผนปี’68 กกพ.ปลื้มได้ราคาต่ำ 2.7 บาท ลุ้นนโยบายปรับแผน PDP ขยายเฟสต่อไป ด้านเอกชนสับเละ ปรับวิธีการคัดเลือกบี้เอกชนหั่นค่าไฟทะลุ 80% สุดท้ายนายทุนรวย-เกษตรกรไม่ได้ประโยชน์ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากไม่ถึงฝัน 1.33 แสนล้าน ส่อเดี้ยงซ้ำรอย SPP Hybrid
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 กกพ.พิจารณาคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) 43 ราย จากผู้สมัครที่ผ่านคุณสมบัติทั้งหมด 169 ราย คิดเป็นปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 149.50 เมกะวัตต์ ค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 3.1831 บาทต่อหน่วย
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- หุ้นกู้ออกใหม่ 12 บริษัทแห่ขายเดือน เม.ย.นี้ จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 7.40%
- ยื่นภาษีปี 2567 หมดเขตเมื่อไหร่ ยื่นไม่ทันต้องทำอย่างไร
แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล 16 ราย 75.00 เมกะวัตต์ ค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 2.7972 บาทต่อหน่วย และโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ 27 ราย รวม 74.50 เมกะวัตต์ และค่าไฟฟ้าเสนอขายเฉลี่ย 3.5717 บาทต่อหน่วย
โดยหลังจากนี้ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกต้องลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ภายใน 7 วัน และลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ใน 120 วัน หลังประกาศรายชื่อ โดยกําหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ใน 36 เดือน นับจากวันลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หรือภายในวันที่ 21 มกราคม 2568
ซึ่งสำนักงาน กกพ.จะจัดสัมมนา เพื่อชี้แจงแนวทางการพัฒนาโครงการตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 และการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
“โครงการนี้ได้ 149.5 เมกะวัตต์ เป็นตามกรอบเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กำหนดตามแผนการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) แล้ว กระจายไปในพื้นที่ทุกภาค การคัดเลือกด้วยการเสนอราคาทำให้มีราคาลดลงเหลือเพียง 2.7-2.8 บาทต่อหน่วยต่ำกว่าค่าไฟปกติ การผลิตพลังงานหมุนเวียนช่วยเรื่องโลกร้อน และจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้เกษตรกร ส่วนจะขยายเฟสต่อไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับนโยบายว่าจะต้องมีการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือไม่ ซึ่งอาจต้องให้ปรับ PDP และแผนผลิตพลังงานหมุนเวียน (AEDP) ใหม่ก่อน”
ด้านแหล่งข่าวจากวงการพลังงานหมุนเวียน กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ถ้าคัดเลือกโรงไฟฟ้าชุมชนตามแนวทางเดิมที่ภาคเอกชนโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน วางไว้ก่อนหน้านี้จะได้ประโยชน์ ทำให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากมากกว่านี้ เพราะเดิมกำหนดให้มีการเสนอราคาเช่นกัน แต่ใช้เกณฑ์เทียบประโยชน์ต่อชุมชนเป็นหลัก ส่วนวิธีใหม่นี้ไม่มีการเทียบตรงนั้น
“เดิมคำนวณว่าจะมีประโยชน์ต่อชุมชนละ 2,500-2,600 ล้านบาทต่อปี ทำให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 700 ตำแหน่ง ซึ่งเม็ดเงินคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจของโครงการ กลับสู่ระบบเศรษฐกิจ 4 รอบ เป็นเงินกว่า 10,294 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้ 4 รอบคิดเป็น 1.33 แสนล้านบาท จากทั้งค่าจ้าง รายจ่ายเชื้อเพลิง เงินเข้ากองทุน”
“ขณะที่วิธีที่ใช้ในการคัดเลือกครั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นการเสนอราคาเหมือนกัน แต่ก็เปิดให้มีการต่อรองราคา แต่ละรายก็แข่งกันให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 30-50% และลดสูงสุด 80% สมมุติว่าเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดไม่เกิน 3 เมกะวัตต์ โครงสร้างค่าไฟที่เป็น FiT Fix เสนอราคา 2.39 บาท ลดราคาลง 50% เหลือแค่ 1.20 บาท บวกกับส่วนของ FiT ผันแปรที่ 1.80 บาท เท่ากับค่าไฟฟ้ารวมจะอยู่ที่ 3 บาท ต่ำกว่าอัตราค่าไฟฟ้าชีวมวลที่ กพช.อนุมัติ 4.20 บาทต่อหน่วย ซึ่งราชการจะเลือกวิธีการนี้เพราะโปร่งใส และทำให้ได้ราคาค่าไฟถูก ขณะที่นายทุนขายหุ้นกำไรพุ่งแล้วตั้งแต่ผลชนะประมูล”
“เกษตรกรจะไม่ได้ประโยชน์ เพราะผลจากการหั่นราคาแข่งกัน โรงไฟฟ้าที่ชนะประมูลต้องกดราคาซื้อวัตถุดิบ ถ้าปกติถ้าขายไฟ 4.20 บาท ซื้อเศษไม้ได้ตันละ 1,200 บาท ได้ราคาตลาด แต่พอขายไฟได้แค่ 3 บาท ต้นทุนการรับซื้อวัตถุดิบคงเหลือตันละ 700 บาท ต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่งมันไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์โครงการที่ต้องการกระตุ้นราคาพืชเกษตรและเศรษฐกิจฐานราก”
และท้ายที่สุดโครงการนี้ก็เสี่ยงจะต้องเลิกเพราะผลิตไม่ได้ตามเป้าหมาย ผลนี้กว่าจะเห็นก็คงอีก 3 ปีข้างหน้า ถึงเวลาก็จะมาอ้างเหตุผลว่าผลิตไม่ได้ต้องยกเลิกโครงการ ซ้ำรอยโครงการ SPP Hybrid และที่เลวร้ายกว่านั้นคือโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนไม่เวิร์กก็ต้องพึ่งพาโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จากก๊าซเช่นเดิม