“ผ่อนคลายมาตรการ” หนุนความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.ย.64 ดีขึ้นรอบ 7 เดือน

Photo by Mladen ANTONOV / AFP

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือน ก.ย. 64 ปรับตัวมาที่ 41.4 ในรอบ 7 เดือน สวนทางกับความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ที่อยู่ 19.4 เนื่องผู้ประกอบการยังกังวลโควิด น้ำท่วม ราคาน้ำมัน คาดหวังรัฐออกมาตรการกระตุ้นดันเศรษฐกิจทั้งปีโตให้ได้เป็นบวก 1-1.5%

วันที่ 7 ตุลาคม 2564 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกันยายน 2564 อยู่ที่ระดับ 41.1 ปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้น หลังจากที่รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการ โดยอนุญาตให้เปิดกิจการกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น ประกอบการติดเชื้อโควิด-19 ดีขึ้น การฉีดวัคซีนคาดว่าสิ้นปี 2564 จะคลอบคลุมประชากรได้ 70%

แต่ทั้งนี้ แม้ว่าความเชื่อมั่นจะดีขึ้นแต่ไม่ได้ทำให้การบริโภค จับจ่ายซื้อสินค้ากลับมาอย่างรวดเร็ว ก็ต้องติดตาม 3 ปัจจัยสำคัญที่กระทบ คือ สถานการณ์น้ำท่วม จะสามารถคลี่คลายลงได้หรือไม่ ราคาน้ำมันในประเทศ ซึ่งมองว่าจะอยู่ในกรอบ 75-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ไม่มากไปกว่านี้ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่บั่นทอนความเชื่อมั่นได้ค่อนข้างมาก และปัญหาการเมืองในประเทศ

“ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตไม่น้อย การฟื้นตัวครั้งนี้ ถือว่าเห็นสัญญาณบวก แต่ดัชนี หลายตัว ก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 ค่อนข้างมาก ดังนั้น ต้องดูว่ารัฐมีมาตรการใหม่ ๆ ออกมาไหม อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบได้มากกว่านี้ไหม ส่วนประเด็นการเปิดประเทศก็ต้องดูว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวมากน้อยแค่ไหน เพราะหากเปิดแต่ละจุดจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในระยะ 2 เดือนประมาณ 2-3 แสนคน ซึ่งจะเกิดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจได้ 1-2 หมื่นล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.05-0.1%”

อย่างไรก็ดี โควิด-19 ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม รวมไปถึงมาตรการผ่อนคลายของรัฐบาล หากรัฐสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย ส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจดีขึ้น น้ำท่วมคลี่คลาย การมีวัคซีน มียาเข้ามาช่วยรักษาจะส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตน้อยลง เชื่อว่าจะมีผลต่อความเชื่อมั่นและโอกาสทางเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงคาดว่าทั้งปี เศรษฐกิจไทยจะมีโอกาสเติบโตได้อยู่ที่ 1-1.5% และในเดือนพฤศจิกายน 2564 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ จะมีการปรับ GDP ใหม่อีกครั้ง

นายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนกันยายน 2564 โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,241 คนทั่วประเทศ พบว่า อยู่ที่ระดับ 41.1 จากระดับ 39.6 ในเดือนสิงหาคม 2564 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ระดับ 35.5 จาก 33.8, ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ระดับ 37.8 จาก 36.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ระดับ 50.8 จาก 48.6

โดยมีปัจจัยบวก คือ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด เพื่อให้ธุรกิจและประชาชนสามารถดำเนินชีวิตและประกอบธุรกิจได้ใกล้เคียงปกติ รวมทั้งขยายเวลาเคอร์ฟิวออกไปเป็น 22.00-04.00 น. โดยเริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป, การฉีดวัคซีนของโลกและการฉีดวัคซีนในประเทศที่เริ่มเป็นรูปธรรมและปรับตัวดีขึ้น, ภาครัฐดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบด้วย โครงการ “เราชนะ” “ม.33 เรารักกัน” “คนละครึ่งเฟส 3” “ยิ่งใช้ยิ่งได้” “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3” ตลอดจนการเปิดรับนักท่องเที่ยวในโครงการนำร่อง “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” และ “สมุยพลัส”, คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ต่อปี, การส่งออกเดือน ส.ค. ขยายตัว 8.93% และราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้นหรือทรงตัวในระดับที่ดี

ขณะที่ปัจจัยลบ ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน, ความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังส่งผลกระทบต่อกากรดำเนินชีวิต ธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศ, ระดับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น, ความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง, ผู้บริโภค มีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังชะลอตัวลง ตลอดจนค่าครองชีพและราคาสินค่ายังทรงตัวในระดับสูง, ดัชนี SET INDEX ปรับตัวลดลง 33.07 จุด และเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย

ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยลดต่อเนื่องเดือนที่ 7

นายวชิร คูณทวีเทพ Executive Assistant และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 369 ตัวอย่าง พบว่าความเชื่อมั่นผู้ประกอบการหอการค้าไทยอยู่ที่ระดับ 19.4 เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 17.9 การบริโภค อยู่ที่ 22.9 การลงทุน อยู่ที่ 18 การท่องเที่ยว อยู่ที่ 10.8 และการจ้างงาน อยู่ที่ 18.7 เป็นต้น ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้า โดยรวมก็ยังไม่ดีขึ้นทั้งการบริโภค การลงทุน การท่องเที่ยว ภาคเกษตรและอุตสาหกรรม

โดยปัจจัยที่กระทบ เช่น ความวิตกการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผลกระทบจากน้ำท่วม ความกังวลต่อเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ซึ่งเป็นผลต่อความกังวลของผู้ประกอบการ

ขณะที่ปัจจัยบวก เช่น การผ่อนคลายล็อกดาวน์ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลง การส่งออกไทยขยายตัว ราคาพืชผลปรับตัวดีขึ้น

อย่างไรก็ดี ปัญหาน้ำท่วม ราคาน้ำมัน การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงต้องติดตามผลกระทบ เพราะแม้รัฐจะผ่อนคลายมาตรการแล้ว ผู้ประกอบการก็ยังมีความกังวลอยู่ ซึ่งก็คาดหวังว่าการเลือกตั้ง อบต. จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจได้ 2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วงให้เศรษฐกิจคึกคัก และผู้ประกอบการก็คาดหวังว่ารัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ น้ำท่วมคลี่คลาย ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไตรมาส 4 ดีขึ้นและส่งผลให้ทั้งปีเศรษฐกิจมีโอกาสเติบโตเป็นบวกได้