ทาทาสตีล พลิกแนวรบหันส่งออกเหล็กแท่งครั้งแรกรอบ 15 ปี

“ทาทาสตีล” พลิกแนวรบ หันส่งออกเหล็กแท่งครั้งแรกรอบ 15 ปี หลังตลาดในประเทศซบก่อสร้างติดล็อกดาวน์ มั่นใจยอดขายปี 64 ทะลุ 1.3 ล้านตัน พร้อมคาด “ราคาเหล็ก” พุ่งต่อ หลังจีนลดกำลังผลิต

วันที่ 20 ตุลาคม 2564 นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

ในไตรมาสไตรมาส 2 บริษัทมีปริมาณการขายสินค้า 326,000 ตัน ลดลง 6%เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ยังคงดีขึ้นประมาณ 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ ในช่วง 6 เดือนของปี ปริมาณการขายอยู่ที่ 672,000 ตัน เพิ่มขึ้น 10%

“แม้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศซบเซา จากที่เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ที่ยืดเยื้อ การก่อสร้างชะลอตัวลง แต่ทางบริษัทได้ยอดขายจากตลาดส่งออกมาชดเชยทำให้ไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นการส่งออกเหล็กแท่งครั้งแรกในรอบ 15 ปี ไปยังแคนนาดา ได้ปริมาณ 22,000 ตัน อีกทั้งได้รับแรงหนุนจากราคาเหล็กที่ปรับตัวดีขึ้น ตามตลาดโลก ทำให้ราคาสินค้าสำเร็จรูปและโลหะเพิ่มขึ้น”

ทั้งนี้ บริษัทรายได้จากการขายและบริการ ไตรมาสนี้ อยู่ที่ 7,894 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและช่วง 6 เดือนของปีก่อน รายได้จากการขายเพิ่มสูงขึ้น

และบริษัทมีผลกำไรก่อนภาษีที่ 922 ล้านบาทในไตรมาสนี้เทียบกับกำไรก่อนภาษีที่ 849 ล้านบาทในไตรมาสก่อน ขณะที่กำไรก่อนภาษีในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 139 ล้านบาท

ส่งผลให้ใน 6 เดือน บริษัทมีผลกำไรก่อนภาษีที่ 1,771 ล้านบาท เทียบกับกำไรก่อนหักภาษี ในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 218 ล้านบาท

“บริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายทั้งปี 2564 จะมีปริมาณ 1.3 ล้านตัน จากแผนและมาตรการการกระตุ้นของภาครัฐที่ โดยในส่วนการส่งออกอยู่ที่ 9-10% แม้ช่วงครึ่งปีแรกบริษัทจะเพิ่มการส่งออกมากขึ้นก็ตาม แต่ตลาดส่งออกแข่งขันสูง ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบ และค่าขนส่งที่เป็นปัจจัยสำคัญ”

นายราจีฟ กล่าวอีกว่า สถานการณ์ราคาเหล็กคาดว่าจะยังคงมีราคาสูงขึ้นจากตลาดโลก ซึ่งจีนผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกลดการผลิตเหล็กลง ทำให้ตลาดมีความต้องการสินค้ามากขึ้นและมีการขยับขึ้นราคามาต่อเนื่อง โดย ขณะนี้ราคาเหล็กในตลาดโลกเฉลี่ย 750-760 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่งผลให้ราคาเหล็กตลาดในประเทศต้องปรับขึ้นเป็น 25,600-25,700 บาทต่อตัน จากเดือนก่อนซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 23,500 บาทต่อตัน

ขณะที่แนวโน้มความต้องการใช้เหล็กในประเทศมีแนวโน้ม “เพิ่มขึ้น” จากประชาชนต้องการซ่อมแซมบ้านหลังน้ำท่วมใน 18 จังหวัด รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมีผลต่อความเชื่อมั่นเกิดการลงทุนซึ่งมีผลต่อกิจการของบริษัท

“เชื่อว่าจากนี้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น และภาพรวมการดำเนินการกิจการของบริษัทยังให้ความสำคัญตลาดในประเทศเป็นหลัก เพราะเมื่อเศรษฐกิจดีความต้องการก็จะเพิ่มขึ้น”