ประวิตรสั่งรับมือฝนภาคใต้ ชง ครม.เคาะ 9 มาตรการฤดูแล้งปี 64/65

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ

ประวิตรสั่งรับมือฤดูฝนภาคใต้เต็มพิกัด พร้อมหนุน 9 มาตรการฤดูแล้งปี 64/65 เสนอ ครม.

วันที่ 29 ตุลาคม 2664 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 2/2564 โดยมีนายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยผู้แทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เข้าร่วมการประชุม

โดยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุหลายลูก ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและมีน้ำไหลหลากเข้าท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะริมแม่น้ำที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ แม้ว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมดำเนินการตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2564 และบริหารจัดการน้ำท่วมตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบและความเสียหายของประชาชน โดยการประชุม

ในวันนี้ ได้ติดตามผลการดำเนินงานทั้งหมดในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา รวมถึงจัดทำแผนการระบายน้ำจากพื้นที่ลุ่มต่ำให้เป็นรูปธรรม พร้อมทั้งทบทวนปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไข และสำหรับฤดูฝนถัดไปในปี 2565 ซึ่งที่ประชุมมีมติให้มีการวางแผนและกำหนดมาตรการเชิงป้องกันให้แล้วเสร็จก่อนเดือน ก.พ. 65 เพื่อเพิ่มระยะเวลาในการเตรียมพร้อมรับมือล่วงหน้ามากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังติดตามความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคใต้ที่เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว
ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประเมินและวางแผนการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำเพื่อเตรียมพื้นที่รองรับน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ได้แก่ อ่าง บางลาง มีแผนพร่องน้ำในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. 64 เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเดือน ม.ค. 65 ทั้งนี้ จะดำเนินการควบคู่กับการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

โดยได้มอบหมายให้ สทนช.เป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกรมชลประทาน ใช้กลไกคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัดในการปรับแผนการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป

“ได้สั่งการและกำชับทุกหน่วยเกี่ยวข้องซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ โดยเตรียมทั้งในเรื่องบุคลากร เครื่องมือ อุปกรณ์ เครื่องจักรกลต่าง ๆ พร้อมตรวจสอบระบบชลประทานให้สามารถรองรับสถานการณ์น้ำได้เต็มศักยภาพตามสถานการณ์น้ำที่เป็นจริงในแต่ละช่วงเวลา และบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุมอย่างเคร่งครัด ไปจนถึงการตรวจสอบพื้นที่ชุมชน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจและเส้นทางคมนาคม รวมทั้งเร่งกำจัดวัชพืช ขยะ สิ่งกีดขวางทางน้ำและเร่งดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝนอย่างเคร่งครัดให้เกิดความพร้อมสูงสุดด้วย” รองนายกฯกล่าว

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึง ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้ง ปี 2564/65 ตามที่ สทนช.เสนอ รวม 9 มาตรการ ได้แก่ 1) เร่งเก็บกักน้ำในทุกแหล่งน้ำให้มากที่สุด 2) จัดหาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ 3) ปฏิบัติการเติมน้ำให้กับแหล่งน้ำในพื้นที่เกษตร

4) กำหนดการจัดสรรน้ำฤดูแล้ง ติดตาม กำกับ ให้เป็นไปตามแผน 5) วางแผนเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ส่งเสริมสนับสนุนการเพาะปลูก 6) เตรียมน้ำสำรองสำหรับพื้นที่ลุ่มต่ำ 7) เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ ในแม่น้ำสายหลัก สายรอง 8) ติดตามประเมินผล 9) สร้างการรับรู้สถานการณ์น้ำและแผนจัดสรรน้ำ โดยได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดทำแผนตามมาตรการที่กำหนด และขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว พร้อมรายงานต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาต่อไป

ด้านนายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมได้พิจารณาแผนการบริหารจัดการน้ำฤดูแล้ง ปี 2564/65 โดยวิเคราะห์พื้นที่เป้าหมายที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ เพื่อขับเคลื่อน 9 มาตรการข้างต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก คือ 1) การวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยคาดการณ์ปริมาณ
น้ำต้นทุนในเขตและนอกเขตชลประทาน เพื่อประเมินพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงภาวะน้ำแล้ง แบ่งเป็นพื้นที่อุปโภค บริโภคและพื้นที่เกษตรกรรม 2) แผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2564/65 โดยคาดการณ์ปริมาณน้ำใช้การ(ณ วันที่ 1 พ.ย. 64) ทั้งประเทศ รวม 67,618 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งมากกว่าปี 2563 ถึง 25,739 ล้าน ลบ.ม. โดยสามารถจัดสรรน้ำเพื่อสนับสนุนในแต่ละกิจกรรม รวม 30,961 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็น 1.อุปโภค-บริโภค 2.รักษาระบบนิเวศ 3.การเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง

และ 4.สนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ร่วมกับการใช้ประโยชน์จากน้ำในแก้มลิง ทุ่งรับน้ำและแหล่งน้ำต่าง ๆ ที่เก็บกักไว้เพื่อตัดยอดน้ำหลากมาใช้ในฤดูแล้ง ทำให้แผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 64/65 ทั้งประเทศ รวม 11.65 ล้านไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าปี 2563 จำนวน 5.74 ล้านไร่ แบ่งเป็น ในเขตชลประทาน 6.95 ล้านไร่นอกเขตชลประทาน 4.7 ล้านไร่ และ 3) คาดการณ์ชี้เป้าประเมินพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงภาวะน้ำแล้งฤดูแล้ง ทั้งด้านอุปโภค บริโภค ในเขตและนอกเขตบริการของ กปภ. ด้านการเกษตร สำหรับการเพาะปลูกนาข้าวรอบที่ 2 (นาปรัง) นอกเขตชลประทาน และไม้ผลที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ นอกเขตชลประทาน และด้านคุณภาพน้ำ ในพื้นที่รับผิดชอบของการประปานครหลวง (กปน.) และเขตให้บริการของ กปภ.

“สทนช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการของท่านรองนายกรัฐมนตรี เพื่อเตรียมพร้อมให้การบริหารจัดการน้ำทั้งในช่วงฤดูฝนของพื้นที่ภาคใต้และในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึงนี้มีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่วางไว้ ช่วยลดผลกระทบและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึง”