บีซีพีจี เปิดงบฯไตรมาส 3/64 กำไรพุ่งกว่า 40% จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ-ลม

บีซีพีจีเผยผลประกอบการ

บีซีพีจีเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3/64 มีรายได้รวมกว่า 1,300 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 709 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.7% เทียบกับไตรมาสที่ 2/64 อานิสงส์เป็นช่วง High Season ของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และพลังงานลม “บัณฑิต สะเพียรชัย” มั่นใจภาพรวมปี 2564 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ผลักดันให้รายได้-กำไรเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 นายบัณฑิต สะเพียรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 3/64 มีรายได้จากการดำเนินงานที่ 1,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/64 ที่มีรายได้รวม 1,088 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,238 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 709 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาส 3/2563 ที่ 10.3% และจากไตรมาส 2/2564 ที่ 40.7%

บัณฑิต สะเพียรชัย

ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนของปี 2564 มีรายได้จากการดำเนินงานที่ 3,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 343 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,094 ล้านบาท มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ 1,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 278 ล้านบาท หรือเติบโต 19.5% เมื่อเทียบกับการดำเนินงานในงวด 9 เดือน ปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ 1,424 ล้านบาท

“ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ของกลุ่มบริษัท เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาและช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเข้าสู่ High Season ของฤดูกาลน้ำ ส่งผลให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A และ Nam San 3B ใน สปป. ลาวผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นกว่าช่วงปกติ

อีกทั้งในช่วงดังกล่าวทั้งในประเทศไทยและฟิลิปปินส์เริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุม ทำให้โรงไฟฟ้าพลังงานลมมีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ ยังรวมถึงการได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่อินโดนีเซียเพิ่มขึ้น จากอัตราค่าไฟที่สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง” นายบัณฑิตกล่าว

สำหรับในภาพรวมของปี 2564 บริษัทยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสามารถดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังการผลิต 7.7 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ตามแผนเรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ทันทีในไตรมาส 4 ปี 2564 และเต็มปีในปีหน้า (ปี 2565)

“ในปี 2565 บริษัทมีโครงการที่จะทยอยเปิดดำเนินการรวมกำลังการผลิตอีกกว่า 49 เมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์โคมากาเนะ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยาบูกิในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และ 20 เมกะวัตต์ตามลำดับ โดยจะเปิดดำเนินการในช่วงครึ่งปีแรก และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็จะเปิดดำเนินการได้เต็มโครงการที่กำลังการผลิตรวม 12 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี” นายบัณฑิตกล่าว