“บ้านปู” เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 รายได้จากการขายรวม 1,161 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 147% กำไรสุทธิ 106 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,489 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 763% จากราคาถ่านหิน-ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มหนุน เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนธุรกิจพลังงานที่สะอาด-เทคโนโลยีพลังงานให้มากกว่า 50% ภายในปี 2568
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 รายได้จากการขายรวม 1,161 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 38,218 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 147% มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 530 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 17,432 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 106 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,489 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 763% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- ฟินแลนด์ระงับการให้วีซ่าแรงงานเก็บผลไม้ป่าทุกคนจากไทย
- เร่งสายสีแดง มธ.รังสิต-มหิดล ศาลายา คอนโดฯ-บ้านเดี่ยวจ่อเปิดตัวรับเทรนด์ปีมังกร
- เช็กที่นี่ ออมสิน-ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อปิดหนี้นอกระบบ 20,000 บาท ใครกู้ได้บ้าง!
จากปัจจัยสนับสนุนคือการปรับตัวสูงขึ้นของราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจากการฟื้นตัวของสถานการณ์โควิด-19 ในหลายประเทศ ความต้องการใช้พลังงานรองรับการผลิตและการบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น เดินหน้าพัฒนาต่อยอดระบบนิเวศทางธุรกิจสร้างความแข็งแกร่งและครบวงจรยิ่งขึ้น สู่อนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน
“บ้านปูมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ซึ่งมีรายได้เติบโตจากราคาขายที่สูงขึ้น ประกอบกับการดำเนินการตามแผนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่สามารถรองรับความไม่แน่นอนของราคาและความต้องการของกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงาน จึงเป็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงราคาตลาดปรับตัวสูงขึ้น
ส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง พร้อมขยายพอร์ตธุรกิจเพื่อเสริมระบบนิเวศทางธุรกิจของกลุ่มบ้านปู โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ที่สอดคล้องกับเทรนด์พลังงานในอนาคต รวมถึงความต้องการและคาดหวังในเรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม”
ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2564 ทั้ง 3 ธุรกิจหลักของบริษัทมีผลประกอบการดังนี้
กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน (Energy Resources) มีผลประกอบการที่ดีจากราคาขายถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่เฉลี่ยเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับแนวโน้มราคาในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลาย ๆ ประเทศที่เริ่มมีการฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจ และภาวะการตึงตัวของอุปทานในตลาด ประกอบกับสภาพภูมิอากาศในจีนที่เข้าสู่ฤดูหนาว
โดยธุรกิจเหมืองมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ในไตรมาส 3 ที่ 399 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 13,134 ล้านบาท) ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มี EBITDA ไตรมาส 3 ที่ 122.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4,030 ล้านบาท)
กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน (Energy Generation) ในไตรมาส 3 บริษัทมี EBITDA 2.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 85 ล้านบาท) อ่อนตัวลงเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Combined Heat and Power : CHP) 3 แห่งของบริษัทในจีน
รวมไปถึงโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง (Shanxi Lu Guang : SLG) ซึ่งยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากต้นทุนถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้นแต่ยังสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่โรงไฟฟ้าเอชพีซีใน สปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีในไทยยังสามารถผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ค่าความพร้อมจ่าย (EAF) ในระดับที่ดี ส่วนโรงไฟฟ้า นาโกโซ (Nakoso) ในญี่ปุ่น ยังสามารถสร้างผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง
ด้านธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในจีนและญี่ปุ่นคงประสิทธิภาพการจ่ายไฟได้เป็นอย่างดี แม้สภาพภูมิอากาศไม่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ การลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ CCGT “Temple I” ในสหรัฐอเมริกา ได้เสร็จสิ้นกระบวนการซื้อขายเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology) ในไตรมาส 3 บริษัทมี EBITDA 5.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 179 ล้านบาท) ในขณะที่บริษัทยังคงเร่งเดินหน้าลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโซลูชั่นด้านพลังงานที่มีศักยภาพสูง โดยได้ขยายและพัฒนาบริการของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (e-Mobility Platform) และธุรกิจการจัดการใช้พลังงาน (Energy Management Solutions) ด้วยการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในในบริษัท เอ็นจี เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จํากัด
ซึ่งดำเนินธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่การจัดหา ติดตั้ง ดำเนินการดูแลรักษา รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพระบบและอุปกรณ์ด้านการใช้พลังงาน เช่น ระบบอัดอากาศ ระบบทำความเย็นภายในอาคารหรือโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งนี้ถือเป็นการเสริมแกร่งระบบนิเวศพลังงานฉลาดของบ้านปู เน็กซ์ อย่างเต็มรูปแบบ
นอกจากนั้นในเดือนพฤศจิกายน บริษัท BPIN Investment Co., Ltd. (BPINI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายเพื่อขายหุ้นทั้งหมดที่ถือในบริษัท Sunseap Group Pte., Ltd. (Sunseap) ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในสิงคโปร์ การดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการการลงทุน (Portfolio Rationalization) เพื่อสร้างความเติบโตในธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นตามแผนกลยุทธ์ Greener & Smarter ต่อไป
บ้านปูยังคงมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้หลัก ESG (Environmental, Social and Governance) ควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าและความไว้วางใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบ้านปูได้รับรางวัลเกียรติยศบริษัทจดทะเบียนด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards of Honor) จาก SET Awards 2021 ในกลุ่ม Sustainability Excellence ต่อเนื่องกันปีนี้เป็นปีที่ 4 และยังได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อ “หุ้นยั่งยืน” (Thailand Sustainability Investment: THSI) ประจำปี 2564 ต่อเนื่องกันปีนี้เป็นปีที่ 7
“บ้านปูยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG ไปพร้อมกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของประเทศไทยและระดับโลก โดยพร้อมให้การสนับสนุนความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทย และรัฐบาลในทุกประเทศที่บ้านปูเข้าไปดำเนินธุรกิจ รวมทั้งร่วมมือกับประชาคมโลกเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC COP) สมัยที่ 26 หรือ COP26
โดยบริษัทจะดำเนินมาตรการในด้านต่าง ๆ เพื่อลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง และมุ่งลงทุนในธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมตั้งเป้าหมายการมี EBITDA จากธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานในสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2568” นางสมฤดีกล่าว