“เหล็กไทย” ผ่านจุดต่ำสุด ปี’65 ฟื้นตัวต่อเนื่อง 5-6%

เหล็ก

สถานการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกอ่อนตัวลงในช่วงไตรมาส 4/2564 หลังจากที่ทำระดับราคานิวไฮเมื่อช่วงกลางปี 2564 ขยับขึ้นไป 2 เท่า ทะลุ 1,400 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากการที่ “จีน-ญี่ปุ่น” ดูดซื้อวัตถุดิบเหล็กต้นน้ำ ทำให้ซัพพลายตึงตัวทั่วโลก

แต่ทว่าหลังจากนั้น “จีน” ผู้ผลิตและผู้ใช้เหล็กรายใหญ่ของโลกปรับลดลงการผลิต ถือว่าพลิกผันตลาดจากช่วงต้นปี 2564 ที่หลายฝ่ายมองว่าเศรษฐกิจจีนดี ความต้องการใช้เหล็กจะปรับตัวดีขึ้น

แต่จากวิกฤตเอเวอร์แกรนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่อู้ฟู่ที่สุดในจีน และมีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ออกมายอมรับในเดือนมิถุนายนว่า ไม่ได้ชำระตราสารหนี้ ปัญหาหนี้เอเวอร์แกรนด์กดดันให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนครึ่งปีหลังลดลง ความต้องการใช้เหล็กลดลง 1% จากที่ประเมินว่าจะบวกได้เล็กน้อย

ญี่ปุ่นปิดโรงงาน อินเดียแซง

นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มปี 2565 ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโต ความต้องการใช้เหล็กจะเพิ่มสูงขึ้น ประมาณ 1,600 ล้านตัน ขณะที่กำลังการผลิตโลกมีปริมาณ 2,400 ล้านตันต่อปี โดยหลังจากวิกฤตเอเวอร์แกรนด์จีนลดกำลังการผลิตลง แต่ก็ยังคงเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 ของโลกปริมาณ 800 ล้านตัน

ส่วนอันดับ 2 ได้มีการเปลี่ยนแปลง โดย “อินเดีย” ขยับขึ้นมาแทนที่ญี่ปุ่น มีกำลังการผลิต 100 ล้านตัน ส่วนญี่ปุ่นมีการปิดโรงงานถลุงเหล็กขนาดใหญ่หลายโรงงงาน เช่น เช่น นิปปอนสตีล อันดับ 1 เจเอฟอีสตีล อันดับ 2 ก็ทยอยปิดโรงถลุง ทำให้กำลังการผลิตภาพรวมเหลือไม่ถึง 90 ล้านตัน

“ฝั่งอินเดียได้เพิ่มกำลังการผลิตเหล็กมาเป็นอันดับ 2 ของโลก จากที่รัฐบาลอินเดียมีนโยบายสนับสนุนการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มขึ้น ตลาดอินเดียยังเล็กและมีโอกาสโตขึ้นอีกเยอะ เพียงแต่ในช่วงไตรมาส 3 ราคาเหล็กในอินเดียไม่ค่อยดี ก็มีการส่งออกมาต่างประเทศจำนวนมาก และพอเศรษฐกิจในอินเดียดีขึ้นก็ปรับลดการส่งออกลง”

ส่วนปัจจัยราคาพลังงานปรับสูงขึ้นนั้น ถือว่าได้รับผลกระทบกันทั้งโลกไม่เฉพาะแค่ไทย ซึ่งเหล็กเป็นสินค้าคอมโมดิตี้ก็มีผลตามไปด้วย แต่ในส่วน “ไทย” เราต้องพึ่งพาเหล็กนำเข้าจำนวนมาก ฉะนั้น ก็ต้องตามตลาดโลก หากเศรษฐกิจทุกประเทศปรับตัวดีขึ้นหมด วัคซีนฉีดได้ทุกประเทศครบแล้ว เริ่มเปิดได้เกือบทั่วโลก ความต้องการใช้เหล็กดีขึ้นทั่วโลก

“สิ่งที่น่ากลัวจะเป็นเรื่องเหล็กขาดมากกว่าเรื่องการปรับราคาขึ้น-ลง” นั้นเป็นไปตามกลไกตลาด เพราะเหล็กเป็นสินค้าที่มีผู้ผลิตนับหมื่นรายทั่วโลกเทียบกับบางสินค้ามีผู้ผลิตไม่กี่สิบราย ดังนั้น การควบคุมปริมาณหรือราคาฮั้วโลกทำได้ยาก

ดีมานด์เหล็กไทยฟื้น

สำหรับ สถานการณ์เหล็กในประเทศไทยปีหน้ามีแนวโน้มที่ความต้องการใช้เหล็กจะเติบโตขึ้น 5-6% หรือประมาณ 20 ล้านตัน เป็นอัตราเติบโตที่ชะลอตัวลงจากปีนี้ที่เพิ่มขึ้นถึง 15% หรือประมาณ 18 ล้านตัน ถือเป็นปีที่ความต้องการใช้เหล็กของไทยฟื้นตัวเร็ว อาจจะเรียกว่าเร็วที่สุดในอาเซียนที่ฟื้นตัวเพียง 5-6%

“เราผ่านจุดต่ำสุดเมื่อปี 2563 มาแล้ว ราคาเหล็กและปริมาณเหล็กก็ลดลงต่ำสุดในรอบในหลายปี ปี 2564 ก็กระเตื้องขึ้นในแง่ราคา ปีหน้ามีโอกาสจะฟื้นตัวเท่ากับปีก่อนโควิด ถ้าเราใช้เหล็กเกิน 20 ล้านตัน โตจากปีนี้ 5% เท่ากับเราก็ฟื้นก่อนโควิดแล้ว ใช้เวลาฟื้นตัวเร็วมากแค่เพียง 2 ปี”

“ปัจจัยหลักมาจากนโยบายการส่งเสริมการใช้เหล็กที่ผลิตได้ในประเทศในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อให้ได้สัดส่วน local content สูง และล่าสุดมีปัจจัยเรื่องการผ่อนเกณฑ์ LTV ซึ่งน่าจะมาช่วยหนุนการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ในแนวราบได้”

ขึ้นค่าขนส่งกระทบเล็กน้อย

ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยงจากการปรับขึ้นค่าขนส่งในประเทศจากต้นทุนราคาน้ำมันนั้น ทางกลุ่มเหล็กได้รับรู้ปัจจัยนี้ไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งได้ปรับขึ้นราคากับกลุ่มเหล็กไปแล้วก่อนหน้านี้ เพียงแต่สัดส่วนต้นทุนนี้น้อยเพียง 1% เทียบกับสัดส่วนต้นทุนหลัก ซึ่งมาจากวัตถุดิบ อีกทั้งสถานการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกไม่ได้ปรับสูงขึ้น

“หลังจากผ่านจุดพีกเมื่อกลางปีมา ตอนนี้น่าจะอยู่ในจุดขาลงจึงไม่ได้ปรับราคา โดยสัญญาก่อสร้างต่าง ๆ ที่เจรจาไว้แล้วจะยังใช้ต้นทุนที่ระดับราคาเดิม แต่ก็อยู่ที่เทอมการขายของแต่ละราย ถ้าขายแบบขนส่งถึงที่ก็อาจจะขาดทุน เพราะไม่สามารถไปปรับเพิ่มราคาไม่ได้ ถ้าเขาขายแบบหน้าโรงงานลูกค้าขนส่งเองก็ไม่เกี่ยวกับโรงงาน”

อย่างไรก็ตาม จากการที่สถานการณ์ราคาเหล็กลดลง มาตรการการไต่สวนการทุ่มตลาด (เอดี) เหล็ก ซึ่งไทยได้ผ่อนผันการบังคับใช้มาตั้งแต่ช่วงกลางปี ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาเหล็กแพงขึ้น ควรกลับมาดำเนินการต่อเพราะตอนนี้สถานการณ์ราคาลดลงแล้ว ไม่ควรต้องผ่อนหรือยั้งแล้ว ควรพิจารณาตามความจำเป็นตามปกติ โดยเฉพาะเอดีเหล็กทินแพลตสำหรับผลิตกระป๋อง หากพิสูจน์ได้ว่าราคาที่ส่งมาขายในไทยถูกกว่าประเทศต้นทางก็ต้องใช้มาตรการเอดี

สต๊อกเท่าที่จำเป็น

ในส่วนการปรับแผนบริหารจัดการแผนการสต๊อกเหล็กนั้นต้องยอมรับว่า ขณะนี้โรงงานเหล็กต่างปรับแผนมาสต๊อกเท่าที่จำเป็น เพราะเหล็กเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมโมดิตี้) ที่ราคาปรับขึ้น-ลง ประกอบกับเรื่องการขอสินเชื่อจากธนาคารทำได้ยากกว่าแต่ก่อน จึงไม่มีรายใดสต๊อกจำนวนมาก

“โรงงานเหล็กก็พยายาม สต๊อกเท่าที่จำเป็น เพราะไม่มีใครกล้าตุน ถ้าสต๊อกไว้แล้วราคาลดลงก็จะกระทบและในส่วนของเงินทางแบงก์ก็ไม่อนุมัติอยู่แล้ว ผู้ผลิตเหล็กน่าจะมี inventory เท่าที่จำเป็น”

ส่วนปัจจัยเสี่ยง เรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และปัญหาค่าระวางเรือไม่กระทบสินค้าเหล็ก เนื่องจากขนส่งเป็นเบราซ์ไม่ต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์

ขณะที่ปัจจัยกรณีที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ประกาศจะเลิกใช้มาตรการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 232 นั้น ข้อเท็จจริงคือยังไม่เลิกใช้ สหรัฐเพียงประกาศยกเว้นและให้โควตากับยุโรปเท่านั้น แต่ยังใช้มาตรการนี้กับเหล็กของประเทศอื่น ๆ เช่นเดิม ดังนั้น ปัจจัยนี้ไม่ได้เป็นบวกต่อไทย