ดึงเอกชนร่วม “โครงการพาณิชย์ลดราคาสารเคมี” สูงสุด 35% ช่วยเกษตรกร

เปิดโครงการพาณิชย์…ลดราคา! ช่วยเกษตรกร (เคมีเกษตร) ลดสารเคมีสูงสุด 35% เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยครอบคลุมพืชทุกกลุ่ม มั่นใจลดภาระค่าใช้จ่ายให้เกษตรกรได้ 30 ล้านบาท เอกชนพร้อมช่วยเต็มที่แม้กำไรลดลงเพียงขอทุกคนอยู่รอด

วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมโครงการพาณิชย์…ลดราคา! ช่วยเกษตรกร (เคมีเกษตร) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมาคมอารักขาพืชไทย สมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตร ถึงสถานการณ์เคมีเกษตร พบว่า โดยส่วนใหญ่ประเทศไทยมีการนำเข้สารเคมี 100% จากจีนและยุโรป

ปัจจุบันพบว่าจีนได้มีกำหนดมาตรการเรื่องของสิ่งแวดล้อมส่งผลให้มีการจำกัดการผลิตและการส่งออก สถานการณ์ราคาในตลาดโลกสูงขึ้นและประกอบกับช่วงนี้ไทยมีการเพราะปลูก และเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร ทำให้มีความต้องการใช้สารเคมีสูงขึ้น ดังนั้น พาณิชย์ร่วมกับสามสมาคมจัดโครงการพาณิชย์ลดราคาเคมีเกษตรช่วยเกษตรกร ลดสูงสุด 35% เริ่มพรุ่งนี้วันแรก (30 พฤศจิกายน 2564) ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2565 รวมระยะเวลา 3 เดือน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้เกษตรกรถึง 30 ล้านบาท

โดยโครงการนี้เป็นโครงการระยะสั้นที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกร ส่วนระยะยาวนั้น กรมจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือถึงแนวทางช่วยเหลือต่อไป โดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนและการอนุญาตนำเข้าสารเคมีใหม่ ให้มีการพิจารณารวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงสารเคมีที่มีประสิทธิภาพและสารเคมีใหม่ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับสารเคมีปัจจุบัน

สำหรับสารเคมีที่นำมาลดราคามีด้วยกัน 3 กลุ่ม 56 สาร จาก 25 บริษัท ที่นำมาลดราคาให้กับเกษตรกร โดยเกษตรกรสามารถซื้อสารเคมีผ่านช่องทางของสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชนหรือตัวแทนที่อยู่ในโครงการได้ สารเคมีที่นำมาลดราคา 3 กลุ่ม คือ สารเคมีปราบวัชพืช 25 สาร ลดสูงสุด 22% ในปริมาณ 111,650 ลิตร สารกำจัดโรคพืช 16 สาร ลดสูงสุด 35% ปริมาณ 76,000 ลิตร และสารกำจัดแมลง 15 สารลดสูงสุด 26% ปริมาณ 53,000 ลิตร โดยรวมแล้วปริมาณที่นำมาลดราคาทั้งสิ้น 235,268 ลิตร

นายวัฒนศักย์กล่าวอีกว่า ขณะนี้สถานการณ์ของสารเคมีราคาปรับขึ้น บางรายการสูงถึง 40% และส่วนใหญ่ไทยนำเข้าจากต่างประเทศ จากปัญหาที่ประเทศผู้ผลิตมีการจำกัดส่งออกประกอบกับค่าเงินบาทอ่อนค่ามีผลต่อต้นทุนการนำเข้า ทำให้ปริมาณการนำเข้าสารเคมีในไทยลดลงแต่ความต้องการใช้ยังคงมี

จึงทำให้กรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำโครงการดังกล่าวนี้ขึ้นมาโดยไม่ได้มีงบฯสนับสนุนใด แต่เป็นความร่วมมือของเอกชนที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรโดยสารเคมีที่นำมาลดราคานั้น ครอบคลุมพืชเกือบทุกกลุ่ม เช่น ข้าว ข้าวโพด อ้อยยางพารา ผลไม้ยืนต้น ทุเรียน ผัก เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ภายหลังจากครบกำหนด 3 เดือน ก็จะมีการพิจารณาขยายสารเคมีต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในเรื่องของการลดราคาสารเคมีต่อไปด้วย ตัวอย่างสารเคมีที่นำมาลดราคา เช่น ไกลโฟเสต 4 ลิตร ปัจจุบันขายอยู่ที่ 800 บาทหากซื้อในโครงการราคาจะอยู่ที่ 650 บาท ซึ่งก็เป็นการขอความร่วมมือผู้ประกอบการในการตรึงราคาเพื่อจำหน่ายให้กับเกษตรกร

นอกจากนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ยังมีโครงการเกษตรสุขใจในการให้บริการวงเงินแก่เกษตรกร 50,000 บาทในการซื้อปัจจัยการผลิตโดยเดือนแรกจะไม่คิดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะพิจารณาไม่คิดดอกเบี้ยเป็นรายเดือน หากเกษตรกรชำระเงินภายในเดือนนั้นปัจจุบันเกษตรกรที่เป็นสมาชิกของ ธ.ก.ส. มีจำนวน 4.8 ล้านราย มีสมาชิกที่ถือบัตรเกษตรกรสุขใจ ประมาณ 2.8 ล้านราย วงเงินที่ใช้ผ่านบัตรไปแล้ว 23,000 ล้านบาท โดยเกษตรกรรายใดต้องการใช้บริการก็สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกได้ ทั้งนี้ ธ.ก.ส.ยังปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือสหกรณ์และวิสาหกิจในการซื้อปัจจัยการผลิตด้วย

อย่างไรก็ดี ทางผู้ประกอบการและ 3 สมาคมที่ร่วมโครงการพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการลดราคาครั้งนี้ แม้จะขาดทุนในเรื่องของกำไรอยู่บ้าง แต่มองเห็นว่าเกษตรกรอยู่รอด ผู้ประกอบการก็อยู่รอด ดังนั้น ต้องการที่จะช่วยเหลือเกษตรกรให้อยู่รอดไปได้